รวมเครื่องหมายจราจร สัญลักษณ์จราจรที่ควรรู้!

Last updated: 27 มิ.ย. 2568  |  28 จำนวนผู้เข้าชม  | 

เครื่องหมายจราจร สัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่ผู้ขับขี่ต้องรู้

เครื่องหมายจราจรและป้ายสัญลักษณ์จราจร เป็นส่วนสำคัญในการควบคุมการจราจรและส่งเสริมความปลอดภัยบนท้องถนนทั่วประเทศไทย ช่วยให้ผู้ขับขี่เข้าใจกฎจราจรและปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุและยังช่วยสร้างความเป็นระเบียบในการใช้ถนนร่วมกันอีกด้วย

 

ความสำคัญของเครื่องหมายจราจร

เครื่องหมายจราจร มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการจราจรและเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนน การเข้าใจความหมายของเครื่องหมายจราจรจะช่วยให้ผู้ขับขี่ปฏิบัติตามกฎจราจรได้อย่างถูกต้อง เช่น การหยุดรถ การเลี้ยวรถ หรือระวังอันตรายจากการขับขี่ การเรียนรู้และปฏิบัติตามป้ายจราจรทั้งหมดจึงเป็นสิ่งที่ผู้ขับขี่ทุกคนควรให้ความสำคัญ เพื่อให้ทุกการเดินทางปลอดภัย ราบรื่น นอกจากนี้ยังลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุและสร้างความเป็นระเบียบในการใช้ถนนทั้งการขับขี่ในเมืองและนอกเมืองอีกด้วย

 

เครื่องหมายจราจร หรือ สัญลักษณ์จราจรมีกี่ประเภท?

เครื่องหมายจราจรหรือสัญลักษณ์จราจรแต่ละประเภทมีหน้าที่และความหมายที่แตกต่างกันไป เครื่องหมายจราจรเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ขับขี่เข้าใจและปฏิบัติตามกฎหมายจราจรได้อย่างถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของป้ายนั้น ๆ โดยแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่

1. ป้ายสัญลักษณ์จราจร ประเภทป้ายบังคับ

เครื่องหมายจราจรหรือสัญลักษณ์ป้ายจราจรประเภทป้ายบังคับ มีจุดมุ่งหมายเพื่อกำหนดให้ผู้ขับขี่ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด แบ่งออกเป็น 2 ประเภทย่อย คือ ป้ายบังคับสีแดง และ ป้ายบังคับสีน้ำเงิน

  • ป้ายบังคับสีแดง: มักมีลักษณะเป็นวงกลม ขอบสีแดง พื้นสีขาว และสัญลักษณ์สีดำ เช่น ป้ายห้ามจอด ป้ายห้ามเลี้ยวขวา หรือป้ายหยุด
  • ป้ายบังคับสีน้ำเงิน: มักเป็นวงกลม พื้นสีน้ำเงิน และสัญลักษณ์สีขาว เช่น ป้ายบังคับให้เลี้ยวซ้าย หรือป้ายจำกัดความเร็ว

ป้ายจราจรทั้งหมดในประเภทนี้มีไว้เพื่อควบคุมพฤติกรรมผู้ขับขี่ให้เป็นไปตามกฎหมาย เช่น ป้ายหยุดที่ทางแยก หรือป้ายห้ามกลับรถ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและรักษาความเป็นระเบียบ

2. ป้ายสัญลักษณ์จราจร ประเภทป้ายเตือน

เครื่องหมายจราจรหรือสัญลักษณ์ป้ายจราจรประเภทป้ายเตือน ออกแบบมาเพื่อแจ้งเตือนผู้ขับขี่ให้ระวังอันตรายหรือสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น โดยมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด พื้นสีเหลือง และสัญลักษณ์สีดำ เช่น ป้ายเตือนทางโค้ง ป้ายเตือนทางลาดชัน หรือป้ายเตือนทางรถไฟ 

ป้ายจราจรทั้งหมดในประเภทนี้ช่วยให้ผู้ขับขี่เพิ่มความระมัดระวังและลดความเร็วลงเมื่อเจอสถานการณ์เสี่ยง เช่น ป้ายเตือนเด็กข้ามถนน ซึ่งมักพบใกล้โรงเรียน

3. ป้ายสัญลักษณ์จราจร ประเภทป้ายแนะนำ

เครื่องหมายจราจรหรือสัญลักษณ์ป้ายจราจรประเภทป้ายแนะนำ มีไว้เพื่อให้ข้อมูลหรือคำแนะนำแก่ผู้ขับขี่ โดยมักมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า พื้นสีเขียว สีน้ำเงิน หรือสีน้ำตาล พร้อมสัญลักษณ์หรือข้อความสีขาว เช่น ป้ายบอกทางไปสถานที่ท่องเที่ยว ป้ายระบุระยะทาง หรือป้ายบอกชื่อถนน 

ป้ายจราจรทั้งหมดในประเภทนี้ช่วยให้ผู้ขับขี่วางแผนการเดินทางได้สะดวกยิ่งขึ้น เช่น ป้ายบอกทางไปสนามบิน หรือป้ายระบุทางออกบนทางหลวง

4. สัญลักษณ์จราจร ประเภทเครื่องหมายบนพื้นถนน

เครื่องหมายจราจรหรือสัญลักษณ์ป้ายจราจรประเภทเครื่องหมายบนพื้นถนน เป็นเครื่องหมายที่ทาสีหรือติดตั้งบนพื้นผิวถนน เพื่อควบคุมการจราจร แจ้งข้อมูล หรือเตือนผู้ขับขี่และผู้ใช้ถนนให้ทราบถึงข้อปฏิบัติ กฎเกณฑ์ หรืออันตรายที่อาจเกิดขึ้น เช่น เส้นทึบ เส้นประ ทางม้าลาย หรือลูกศรบอกทิศทาง

ป้ายจราจรทั้งหมดในประเภทนี้ช่วยกำหนดช่องทางการขับขี่ เพิ่มความปลอดภัยและความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการใช้เส้นทาง

 

รวมความหมายของเครื่องหมายจราจรและสัญลักษณ์จราจรแต่ละประเภท

เครื่องหมายจราจรหรือป้ายสัญลักษณ์จราจร มีบทบาทสำคัญในการควบคุมและแนะนำการจราจร ดังนั้นการทำความเข้าใจความหมายของเครื่องหมายจราจรแต่ละประเภทจะช่วยให้ผู้ขับขี่ปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง แบ่งออกได้ดังนี้

ป้ายสัญลักษณ์จราจร ประเภทป้ายบังคับ (สีแดง)

เครื่องหมายจราจรหรือป้ายสัญลักษณ์จราจรประเภทป้ายบังคับสีแดง หมายถึง บังคับให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด โดยมักเป็นข้อห้าม ได้แก่


  • ป้ายหยุด: รถทุกชนิดต้องหยุด เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงให้เคลื่อนรถต่อไปได้ด้วยความระมัดระวัง
  • ป้ายให้ทาง: ผู้ขับขี่ต้องระมัดระวังและให้ทางแก่รถและคนเดินเท้าที่มาจากทิศทางอื่นก่อน เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงให้เคลื่อนรถต่อไปได้ด้วยความระมัดระวัง
  • ป้ายให้รถสวนทางมาก่อน: ผู้ขับขี่ที่เห็นป้ายนี้จะต้องให้ทางแก่รถที่สวนมาจากอีกทางหนึ่งก่อน จนกระทั่งรถยนต์ที่สวนทางมาผ่านไปหมด จึงสามารถขับขี่ต่อไปได้
  • ป้ายวงเวียน: ผู้ขับขี่ต้องขับรถวนในวงเวียนตามทิศทางที่กำหนดและให้ทางแก่รถที่อยู่ในวงเวียนไปก่อน
  • ป้ายหยุดตรวจ: รถทุกชนิดต้องหยุดเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบตามกฎหมายในเขตที่ติดตั้งป้าย
  • ป้ายสุดเขตบังคับ: ผู้ขับขี่ไม่ต้องปฏิบัติตามป้ายบังคับเมื่อเลยจุดที่ติดตั้งป้ายนี้ เนื่องจากพ้นเขตบังคับก่อนหน้านี้แล้ว
  • ป้ายห้ามเลี้ยวซ้าย: ห้ามรถทุกประเภทเลี้ยวรถไปทางซ้าย
  • ป้ายห้ามเลี้ยวขวา: ห้ามรถทุกประเภทเลี้ยวรถไปทางขวา
  • ป้ายห้ามกลับรถทางซ้าย: ห้ามรถทุกชนิดเปลี่ยนช่องเดินรถไปทางซ้ายในเขตที่ติดตั้งป้าย
  • ป้ายห้ามกลับรถทางขวา: ห้ามรถทุกชนิดเปลี่ยนช่องเดินรถไปทางขวาในเขตที่ติดตั้งป้าย
  • ป้ายห้ามแซง: ห้ามแซงรถคันอื่นในเขตที่ติดตั้งป้าย
  • ป้ายห้ามจอดรถ: ห้ามจอดรถทุกชนิดในบริเวณที่ติดตั้งป้าย
  • ป้ายห้ามหยุดรถ: ห้ามหยุดหรือจอดรถทุกชนิดในบริเวณที่ติดตั้งป้าย
  • ป้ายห้ามเข้า: ห้ามรถทุกชนิดเข้าบริเวณที่ติดตั้งป้าย
  • ป้ายห้ามรถยนต์ทุกชนิด: ห้ามรถยนต์ทุกชนิดผ่านเข้าไปในเขตที่ติดตั้งป้าย
  • ป้ายห้ามรถบรรทุก: ห้ามรถบรรทุกทุกชนิดผ่านเข้าไปในเขตที่ติดตั้งป้าย
  • ป้ายห้ามรถจักรยานยนต์: ห้ามรถจักรยานยนต์ผ่านเข้าไปในเขตที่ติดตั้งป้าย
  • ป้ายห้ามรถจักรยาน: ห้ามรถจักรยานผ่านเข้าไปในเขตที่ติดตั้งป้าย
  • ป้ายห้ามรถยนต์สามล้อ: ห้ามรถยนต์สามล้อผ่านเข้าไปในเขตที่ติดตั้งป้าย
  • ป้ายห้ามรถสามล้อ: ห้ามรถสามล้อทุกชนิด (เช่น รถสามล้อถีบ) ผ่านเข้าไปในเขตที่ติดตั้งป้าย
  • ป้ายห้ามรถเข็น: ห้ามรถเข็น (เช่น รถเข็นของพ่อค้าแม่ค้า) ผ่านเข้าไปในเขตที่ติดตั้งป้าย
  • ป้ายห้ามคนเข้า: ห้ามคนเดินเท้าผ่านเข้าไปในเขตที่ติดตั้งป้าย
  • ป้ายห้ามรถที่ใช้ในการเกษตร: ห้ามรถทางการเกษตรผ่านเข้าไปในเขตที่ติดตั้งป้าย เช่น รถไถนา 
  • ป้ายห้ามรถยนต์และจักรยานยนต์: ห้ามรถยนต์และรถจักรยานยนต์ผ่านเข้าไปในเขตที่ติดตั้งป้าย
  • ป้ายห้ามจักรยาน รถสามล้อ และรถจักรยานยนต์: ห้ามรถจักรยาน รถสามล้อ และรถจักรยานยนต์ผ่านเข้าไปในเขตที่ติดตั้งป้าย
  • ป้ายจำกัดความกว้าง 3.0 เมตร: ห้ามรถที่มีความกว้างเกิน 3.0 เมตรผ่านเข้าไปในเขตที่ติดตั้งป้าย
  • ป้ายจำกัดความสูง 2.5 เมตร: ห้ามรถที่มีความสูงเกิน 2.5 เมตรผ่านเข้าไปในเขตที่ติดตั้งป้าย
  • ป้ายจำกัดน้ำหนัก 10 ตัน: ห้ามรถที่มีน้ำหนักเกิน 10 ตันผ่านเข้าไปในเขตที่ติดตั้งป้าย
  • ป้ายจำกัดความยาว 10 เมตร: ห้ามรถที่มีความยาวเกิน 10 เมตรผ่านเข้าไปในเขตที่ติดตั้งป้าย
  • ป้ายห้ามใช้เสียง: ห้ามรถทุกชนิดใช้แตรหรือส่งเสียงดังในเขตที่ติดตั้งป้าย
  • ป้ายให้เลี้ยวซ้าย: บังคับให้รถทุกประเภทเลี้ยวซ้ายได้แค่ทางเดียวเท่านั้น
  • ป้ายให้เลี้ยวขวา: บังคับให้รถทุกประเภทเลี้ยวขวาได้แค่ทางเดียวเท่านั้น
  • ป้ายให้เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา: ผู้ขับขี่ต้องเลี้ยวรถไปทางซ้ายหรือขวาเท่านั้น ไม่สามารถตรงไปได้ในเขตที่ติดตั้งป้าย
  • ป้ายให้ชิดซ้าย: ผู้ขับขี่ต้องขับรถชิดด้านซ้ายของถนนในเขตที่ติดตั้งป้าย
  • ป้ายให้ชิดขวา: ผู้ขับขี่ต้องขับรถชิดด้านขวาของถนนในเขตที่ติดตั้งป้าย
  • ป้ายให้ไปทางซ้ายหรือทางขวา: ผู้ขับขี่ต้องเลือกไปทางซ้ายหรือทางขวาเท่านั้น ไม่สามารถไปตรงได้ในเขตที่ติดตั้งป้าย
  • ป้ายเดินรถทางเดียวไปข้างหน้า: ผู้ขับขี่ต้องขับรถไปข้างหน้าตามทิศทางที่กำหนด หรือสามารถเดินรถได้แค่ทางเดียว
  • ป้ายเดินรถทางเดียวไปทางซ้าย: ผู้ขับขี่ต้องขับรถไปทางซ้ายทางเดียวเท่านั้นในเขตที่ติดตั้งป้าย
  • ป้ายเดินรถทางเดียวไปทางขวา: ผู้ขับขี่ต้องขับรถไปทางขวาทางเดียวเท่านั้นในเขตที่ติดตั้งป้าย
  • ป้ายจำกัดความเร็ว 50 Km/hr: ผู้ขับขี่ต้องขับรถด้วยความเร็วไม่เกิน 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเขตที่ติดตั้งป้าย

ป้ายสัญลักษณ์จราจร ประเภทป้ายบังคับ (สีน้ำเงิน)

เครื่องหมายจราจรหรือป้ายสัญลักษณ์จราจรประเภทป้ายบังคับสีน้ำเงิน หมายถึง บังคับให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อช่วยควบคุมทิศทางการจราจรในจุดที่ต้องการความชัดเจน ได้แก่


  • ป้ายให้เลี้ยวซ้าย: ผู้ขับขี่ต้องเลี้ยวซ้ายเท่านั้น
  • ป้ายให้เดินรถทางเดียว: เป็นทางเดินรถทางเดียว ห้ามผู้ขับขี่ขับรถสวนทางกัน
  • ป้ายเดินรถทางเดียวไปทางซ้าย: เป็นทางเดินรถทางเดียว ให้ผู้ขับขี่ขับรถไปทางซ้ายเท่านั้น
  • ป้ายเดินรถทางเดียวไปทางขวา: เป็นทางเดินรถทางเดียว ให้ผู้ขับขี่ขับรถไปทางขวาเท่านั้น
  • ป้ายให้ชิดซ้าย: ให้ผู้ขับขี่ชิดด้านซ้ายของถนน เพื่อความปลอดภัยหรือเพื่อให้รถอื่นผ่านได้
  • ป้ายให้ชิดขวา: แนะนำให้ผู้ขับขี่ชิดด้านขวาของถนน เพื่อความปลอดภัยหรือเพื่อให้รถอื่นผ่านได้
  • ป้ายให้ไปทางซ้ายหรือขวา: อนุญาตให้ผู้ขับขี่ไปทางด้านซ้ายหรือขวาได้ แต่ห้ามไปตรง
  • ป้ายให้เลี้ยวซ้าย: บังคับให้ผู้ขับขี่เลี้ยวซ้ายเท่านั้น 
  • ป้ายให้เลี้ยวขวา: บังคับให้ผู้ขับขี่เลี้ยวขวาเท่านั้น 
  • ป้ายให้เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา: อนุญาตให้ผู้ขับขี่เลี้ยวซ้ายหรือขวาเท่านั้น
  • ป้ายให้เลี้ยวซ้ายหรือตรงไป: อนุญาตให้ผู้ขับขี่เลี้ยวซ้ายหรือตรงไปได้เท่านั้น
  • ป้ายให้ตรงไปหรือเลี้ยวขวา: อนุญาตให้ผู้ขับขี่ตรงไปหรือเลี้ยวขวาได้เท่านั้น
  • ป้ายวงเวียน: มีวงเวียนข้างหน้า ผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติตามกฎจราจรในวงเวียน เช่น ให้รถในวงเวียนมาก่อน
  • ป้ายช่องทางเดินรถประจำทาง: ช่องเดินรถสำหรับรถประจำทางเท่านั้น
  • ป้ายช่องทางเดินรถจักรยานยนต์: ช่องเดินรถสำหรับรถจักรยานยนต์เท่านั้น
  • ป้ายช่องทางเดินรถจักรยาน: ช่องเดินรถสำหรับรถจักรยานเท่านั้น
  • ป้ายเฉพาะคนเดิน: ทางที่สงวนไว้สำหรับคนเดินเท้าเท่านั้น
  • ป้ายความเร็วขั้นต่ำ: ระบุความเร็วขั้นต่ำที่ยานพาหนะต้องรักษาไว้ในพื้นที่นั้น เพื่อให้การจราจรไหลลื่น
  • ป้ายช่องทางรถมวลชน: ช่องทางที่สงวนไว้สำหรับรถโดยสารสาธารณะ เช่น รถประจำทางหรือรถมวลชนอื่นๆ ที่มีจำนวนผู้โดยสารไม่น้อยกว่าจำนวนที่กำหนดตามป้าย

ป้ายสัญลักษณ์จราจร ประเภทป้ายเตือน (สีเหลือง)

เครื่องหมายจราจรหรือป้ายสัญลักษณ์จราจรประเภทป้ายเตือนสีเหลือง หมายถึง ป้ายเตือนซึ่งมีไว้เพื่อแจ้งเตือนผู้ขับขี่ให้ระมัดระวังอันตรายหรือสภาพถนนที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยง ได้แก่


  • ป้ายทางโค้งซ้าย: เตือนว่ามีทางโค้งไปทางซ้ายข้างหน้า ผู้ขับขี่ควรลดความเร็วและระมัดระวัง
  • ป้ายทางโค้งขวา: เตือนว่ามีทางโค้งไปทางขวาข้างหน้า ผู้ขับขี่ควรลดความเร็วและระมัดระวัง
  • ป้ายทางโค้งรัศมีแคบเลี้ยวซ้าย: เตือนว่ามีทางโค้งแคบไปทางซ้ายข้างหน้า ผู้ขับขี่ต้องลดความเร็วและระวังเป็นพิเศษ
  • ป้ายทางโค้งรัศมีแคบเลี้ยวขวา: เตือนว่ามีทางโค้งแคบไปทางขวาข้างหน้า ผู้ขับขี่ต้องลดความเร็วและระวังเป็นพิเศษ
  • ป้ายทางโค้งเริ่มซ้าย: เตือนว่าทางโค้งไปทางซ้ายเริ่มต้นข้างหน้า ผู้ขับขี่ควรเตรียมตัวและลดความเร็ว
  • ป้ายทางโค้งเริ่มขวา: เตือนว่าทางโค้งไปทางขวาเริ่มต้นข้างหน้า ผู้ขับขี่ควรเตรียมตัวและลดความเร็ว
  • ป้ายทางโค้งรัศมีแคบเริ่มซ้าย: เตือนว่ามีทางโค้งแคบเริ่มไปทางซ้ายข้างหน้า ผู้ขับขี่ต้องระวังและลดความเร็วอย่างมาก
  • ป้ายทางโค้งรัศมีแคบเริ่มขวา: เตือนว่ามีทางโค้งแคบเริ่มไปทางขวาข้างหน้า ผู้ขับขี่ต้องระวังและลดความเร็วอย่างมาก
  • ป้ายทางคดเคี้ยวเริ่มซ้าย: เตือนว่ามีทางคดเคี้ยวเริ่มจากทางซ้ายข้างหน้า ผู้ขับขี่ควรระวังการเลี้ยวต่อเนื่อง
  • ป้ายทางคดเคี้ยวเริ่มขวา: เตือนว่ามีทางคดเคี้ยวเริ่มจากทางขวาข้างหน้า ผู้ขับขี่ควรระวังการเลี้ยวต่อเนื่อง
  • ป้ายทางโทตัดทางเอก: เตือนว่ามีทางโทตัดผ่านทางเอกข้างหน้า ผู้ขับขี่ควรระวังรถจากทางโท
  • ป้ายทางโทแยกทางเอกรูปตัว Y: เตือนว่ามีทางโทแยกออกจากทางเอกเป็นรูปตัว Y ข้างหน้า ผู้ขับขี่ควรระวังทางแยก
  • ป้ายทางโทแยกทางเอกทางซ้าย: เตือนว่ามีทางโทแยกออกจากทางเอกไปทางซ้ายข้างหน้า ผู้ขับขี่ควรระวัง
  • ป้ายทางโทแยกทางเอกทางขวา: เตือนว่ามีทางโทแยกออกจากทางเอกไปทางขวาข้างหน้า ผู้ขับขี่ควรระวัง
  • ป้ายทางโทแยกทางเอกเยื้องกันเริ่มซ้าย: เตือนว่ามีทางโทแยกออกจากทางเอกเยื้องกันโดยเริ่มจากทางซ้าย ผู้ขับขี่ควรระวังรถจากทั้งสองฝั่ง
  • ป้ายทางโทแยกทางเอกเยื้องกันเริ่มขวา: เตือนว่ามีทางโทแยกออกจากทางเอกเยื้องกันโดยเริ่มจากทางขวา ผู้ขับขี่ควรระวังรถจากทั้งสองฝั่ง
  • ป้ายทางโทเชื่อมทางเอกจากซ้าย: เตือนว่ามีทางโทเชื่อมเข้ากับทางเอกจากทางซ้ายข้างหน้า ผู้ขับขี่ควรระวังรถจากทางซ้าย
  • ป้ายทางโทเชื่อมทางเอกจากขวา: เตือนว่ามีทางโทเชื่อมเข้ากับทางเอกจากทางขวาข้างหน้า ผู้ขับขี่ควรระวังรถจากทางขวา
  • ป้ายทางโทแยกทางเอกทางซ้ายรูปตัว Y: เตือนว่ามีทางโทแยกออกจากทางเอกไปทางซ้ายเป็นรูปตัว Y ข้างหน้า ผู้ขับขี่ควรระวัง
  • ป้ายทางโทแยกทางเอกทางขวารูปตัว Y: เตือนว่ามีทางโทแยกออกจากทางเอกไปทางขวาเป็นรูปตัว Y ข้างหน้า ผู้ขับขี่ควรระวัง
  • ป้ายวงเวียนข้างหน้า: เตือนว่ามีวงเวียนข้างหน้า ผู้ขับขี่ควรลดความเร็วและให้ทางตามกฎจราจร
  • ป้ายทางแคบลงทั้งสองด้าน: เตือนว่าทางข้างหน้าจะแคบลงทั้งสองด้าน ผู้ขับขี่ควรระวังและลดความเร็ว
  • ป้ายทางแคบลงด้านซ้าย: เตือนว่าทางข้างหน้าจะแคบลงทางด้านซ้าย ผู้ขับขี่ควรระวังและลดความเร็ว
  • ป้ายทางแคบลงด้านขวา: เตือนว่าทางข้างหน้าจะแคบลงทางด้านขวา ผู้ขับขี่ควรระวังและลดความเร็ว
  • ป้ายสะพานแคบ: เตือนว่าข้างหน้ามีสะพานที่มีความกว้างจำกัด ผู้ขับขี่ควรลดความเร็วและระมัดระวังเป็นพิเศษ
  • ป้ายช่องจราจรปิดด้านซ้าย: เตือนว่าช่องจราจรด้านซ้ายข้างหน้าถูกปิด ผู้ขับขี่ต้องเปลี่ยนไปใช้ช่องทางเดินรถอื่นแทน
  • ป้ายช่องจราจรปิดด้านขวา: เตือนว่าช่องจราจรด้านขวาข้างหน้าถูกปิด ผู้ขับขี่ต้องเปลี่ยนไปใช้ช่องทางเดินรถอื่นแทน
  • ป้ายทางข้ามทางรถไฟไม่มีเครื่องกั้นทาง: เตือนว่ามีทางรถไฟตัดผ่านข้างหน้า ไม่มีเครื่องกั้นทาง ผู้ขับขี่ควรหยุดรถและต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
  • ป้ายทางข้ามทางรถไฟมีเครื่องกั้นทาง: เตือนว่ามีทางรถไฟตัดผ่านข้างหน้าและมีเครื่องกั้น ผู้ขับขี่ควรปฏิบัติตามเครื่องกั้นและให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ
  • ป้ายทางข้ามทางรถไฟติดทางแยก: เตือนว่ามีทางข้ามรางรถไฟใกล้ทางแยกข้างหน้า ผู้ขับขี่ควรระวังทั้งรถไฟและรถจากทางแยก
  • ป้ายทางแคบ: เตือนว่าทางข้างหน้าแคบลงอย่างมาก ผู้ขับขี่ควรระวังและลดความเร็ว
  • ป้ายทางลอดต่ำ: เตือนว่ามีทางลอดที่มีความสูงจำกัดข้างหน้า ผู้ขับขี่ควรตรวจสอบความสูงของยานพาหนะ
  • ป้ายทางขึ้นลาดชัน: เตือนว่ามีทางลาดชันขึ้นข้างหน้า ผู้ขับขี่ควรใช้เกียร์ต่ำและระวัง
  • ป้ายทางลงลาดชัน: เตือนว่ามีทางลาดชันลงข้างหน้า ผู้ขับขี่ควรใช้เกียร์ต่ำและควบคุมความเร็ว
  • ป้ายระวังเนิน: เตือนว่ามีเนินข้างหน้า ผู้ขับขี่ควรระวังการเปลี่ยนแปลงของระดับถนน
  • ป้ายผิวทางขรุขระ: เตือนว่าผิวถนนข้างหน้าขรุขระ ผู้ขับขี่ควรลดความเร็วเพื่อความปลอดภัย
  • ป้ายทางเป็นแอ่ง: เตือนว่ามีแอ่งน้ำหรือหลุมบนถนนข้างหน้า ผู้ขับขี่ควรระวังและลดความเร็ว
  • ป้ายทางลื่น: เตือนว่าถนนข้างหน้าลื่น ผู้ขับขี่ควรลดความเร็วและระวังการลื่นไถล
  • ป้ายผิวทางร่วน: ป้ายเตือนที่บ่งบอกว่าทางข้างหน้ามีสภาพผิวทางที่วัสดุผิวทางหลุดกระเด็นได้ง่ายเมื่อขับรถด้วยความเร็วสูง ผู้ขับขี่ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ
  • ป้ายระวังหินร่วง: เตือนว่ามีความเสี่ยงจากหินร่วงลงบนถนนข้างหน้า ผู้ขับขี่ควรระวัง
  • ป้ายสะพานเปิดได้: สะพานที่สามารถเปิดหรือยกส่วนใดส่วนหนึ่งขึ้นได้ เพื่อให้เรือขนาดใหญ่หรือเรือที่มีความสูงมากสามารถแล่นผ่านไปได้ ผู้ขับขี่ควรระมัดระวังและชะลอความเร็วเพื่อเตรียมพร้อมที่จะหยุดรถ
  • ป้ายให้เปลี่ยนช่องจราจร: เตือนให้ผู้ขับขี่เปลี่ยนช่องจราจรตามทิศทางที่ป้ายระบุ เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวาง
  • ป้ายออกทางขนาน: เตือนให้ผู้ขับขี่ที่อยู่บนถนนหลัก/ทางด่วนทราบว่ากำลังจะถึงทางแยกที่เชื่อมออกไปยังคู่ทางขนานข้างหน้า
  • ป้ายเข้าทางหลัก: เตือนให้ผู้ขับขี่ที่กำลังจะเข้าสู่ทางหลักระมัดระวังและให้ทางแก่รถที่กำลังแล่นอยู่บนทางหลัก
  • ป้ายทางร่วม: เตือนว่ามีทางร่วมข้างหน้า ผู้ขับขี่ควรระวังรถจากทางอื่น
  • ป้ายทางคู่ข้างหน้า: ทางข้างหน้าเป็นทางคู่ มีเกาะกลางถนนหรือสิ่งอื่นแบ่งการจราจรออกเป็นสองทิศทาง ผู้ขับขี่ควรขับรถชิดขอบทางด้านซ้าย
  • ป้ายสิ้นสุดทางคู่: เตือนว่าทางคู่สิ้นสุดลงข้างหน้า ทางจะกลายเป็นทางเดี่ยว ผู้ขับขี่ควรระวังรถวิ่งสวนทาง
  • ป้ายจุดกลับรถด้านซ้าย: เตือนว่ามีจุดกลับรถทางด้านซ้ายข้างหน้า ผู้ขับขี่ควรเตรียมตัวและระวังรถทางอื่น
  • ป้ายจุดกลับรถด้านขวา: เตือนว่ามีจุดกลับรถทางด้านขวาข้างหน้า ผู้ขับขี่ควรเตรียมตัวและระวังรถทางอื่น
  • ป้ายทางเดินรถสองทาง: เตือนว่าทางข้างหน้าเป็นทางสองช่องทาง ผู้ขับขี่ควรระวังรถสวนทาง
  • ป้ายสัญญาณไฟจราจร: เตือนว่ามีสัญญาณไฟจราจรข้างหน้า ผู้ขับขี่ควรเตรียมปฏิบัติตามสัญญาณไฟจราจร
  • ป้ายหยุดข้างหน้า: สั่งให้ผู้ขับขี่หยุดรถที่ทางแยกข้างหน้า
  • ป้ายให้ทางข้างหน้า: สั่งให้ผู้ขับขี่ให้ทางแก่ยานพาหนะอื่นที่ทางแยกข้างหน้า
  • ป้ายระวังคนข้ามถนน: เตือนผู้ขับขี่ให้เพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากอาจมีคนกำลังข้ามถนนหรือเตรียมจะข้ามถนนในบริเวณนั้น
  • ป้ายระวังสัตว์: ผู้ขับขี่ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ มีโอกาสพบสัตว์บนถนนหรืออาจมีสัตว์ออกมาบนเส้นทางจราจร
  • ป้ายระวังเครื่องบินบินต่ำ: ทางข้างหน้าเป็นบริเวณที่ใกล้สนามบิน หรืออาจมีเครื่องบินบินขึ้น-ลงในระดับต่ำ ผู้ขับขี่ควรขับรถให้ช้าลงหรือหยุดรถ หากเห็นเครื่องบินกำลังขึ้นหรือลงเพื่อความปลอดภัย
  • ป้ายระวังอันตราย: เตือนให้ผู้พบเห็นทราบถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในบริเวณนั้นๆ เพื่อให้เกิดความระมัดระวังและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุหรืออันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน
  • ป้ายเตือนแนวทาง: เตือนผู้ใช้ทางให้ทราบถึงแนวทางเดินรถที่อาจมีการเปลี่ยนแปลง เช่น ทางโค้ง ทางแยก หรือบริเวณที่มีสิ่งกีดขวาง เพื่อให้ผู้ขับขี่เพิ่มความระมัดระวังและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่ให้เหมาะสมกับสภาพเส้นทาง
  • ป้ายสลับกันไป: เตือนผู้ขับขี่ว่าทางข้างหน้ามีจำนวนช่องเดินรถลดลง และให้ผู้ขับขี่ขับรถสลับกันไปทีละคันระหว่างช่องทางทั้งสอง
  • ป้ายเขตห้ามแซง: ห้ามผู้ขับขี่แซงยานพาหนะอื่นในเขตนี้ เพื่อความปลอดภัยและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ

ป้ายสัญลักษณ์จราจร ประเภทป้ายเตือนก่อสร้าง (สีส้ม)

เครื่องหมายจราจรหรือป้ายสัญลักษณ์จราจรประเภทป้ายเตือนสีส้ม หมายถึง ป้ายเตือนที่ออกแบบมาเพื่อแจ้งให้ผู้ขับขี่ทราบถึงสถานการณ์ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายหรือต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการก่อสร้าง การซ่อมแซมถนน หรือการทำงานบนถนน ได้แก่


  • ป้ายคนกำลังทำงาน: มีงานก่อสร้างอยู่ข้างหน้าบนถนน
  • ป้ายเครื่องจักรกำลังทำงาน: มีเครื่องจักรกลหนักกำลังทำงานในพื้นที่
  • ป้ายงานก่อสร้าง: ข้างหน้าเป็นเขตงานก่อสร้าง
  • ป้ายเบี่ยงทางขวา: ให้ผู้ขับขี่เบี่ยงไปทางขวา เพราะมีสิ่งกีดขวางทางซ้าย
  • ป้ายเบี่ยงทางซ้าย: ให้ผู้ขับขี่เบี่ยงไปทางซ้าย เพราะมีสิ่งกีดขวางทางขวา
  • ป้ายคนกำลังสำรวจทาง: มีการทำงานสำรวจในพื้นที่
  • ป้ายเบี่ยงเบนการจราจร: ป้ายใช้แจ้งเตือนทางข้างหน้ามีการเบี่ยงเบนการจราจร เช่น การเบี่ยงเลน การเปลี่ยนแนวทางไปใช้ทางชั่วคราว
  • ป้ายเบี่ยงเบนทางจราจรคู่: ทางข้างหน้ามีการเบี่ยงเบนการจราจร ผู้ขับขี่ต้องเปลี่ยนแนวทางการจราจรไปตามทางเบี่ยง หรือทางชั่วคราวที่ระบุในป้าย
  • ป้ายช่องจราจรปิดด้านขวา: เตือนผู้ขับขี่ว่าช่องจราจรด้านขวาถูกปิดชั่วคราวหรือถาวร อาจเนื่องจากการก่อสร้าง อุบัติเหตุ หรือการซ่อมแซมถนน 
  • ป้ายสะพานแคบ: ทางข้างหน้าจะมีสะพานที่มีความกว้างลดลงจากถนนปกติ อาจทำให้รถไม่สามารถวิ่งสวนกันได้สะดวก ควรลดความเร็วและเพิ่มความระมัดระวัง
  • ป้ายน้ำท่วมทาง: ทางข้างหน้าอาจมีน้ำท่วมขัง ซึ่งอาจทำให้ถนนลื่นหรือเป็นอันตราย
  • ป้ายสิ้นสุดเขตก่อสร้าง: บ่งบอกว่าพื้นที่ข้างหน้าเป็นจุดสิ้นสุดเขตก่อสร้าง ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างหรือซ่อมแซม ผู้ขับขี่สามารถกลับมาใช้ถนนได้ตามปกติหลังจากผ่านบริเวณนี้
  • ป้ายถนนปิด/ทางปิด: เตือนว่าถนนหรือเส้นทางข้างหน้าถูกปิดกั้นทั้งหมด ไม่สามารถสัญจรผ่านได้ อาจเนื่องจากการก่อสร้าง หรืออุบัติเหตุ

ป้ายสัญลักษณ์จราจร ประเภทป้ายแนะนำ (สีฟ้า)

เครื่องหมายจราจรหรือป้ายสัญลักษณ์จราจรประเภทป้ายแนะนำสีฟ้า หมายถึง ป้ายแนะนำหรือป้ายบอกทางมีไว้เพื่อให้ข้อมูลการเดินทางแก่ผู้ขับขี่ โดยจะพบเห็นได้ตามทางหลวงพิเศษหรือทางหลวงสัมปทาน ได้แก่


  • WC: มีห้องน้ำบริการ
  • TAXI: จุดบริการรถแท็กซี่
  • มีดและส้อม: จุดบริการอาหาร/ร้านอาหาร
  • แก้วกาแฟ: ร้านกาแฟหรือเครื่องดื่มร้อน
  • เครื่องบิน: สนามบินหรือจุดบริการการบิน
  • เสาโทรศัพท์: โทรศัพท์สาธารณะ
  • เปลวไฟ: จุดแจ้งเหตุเพลิงไหม้หรือสถานีดับเพลิง
  • ไขควงและประแจ: ศูนย์บริการซ่อมรถยนต์
  • รถเข็นคนพิการ: ที่จอดรถหรือบริการสำหรับผู้พิการ
  • ตู้เติมน้ำมัน: สถานีเติมน้ำมันหรือก๊าซ
  • รถบัส: จุดจอดรถโดยสาร
  • โทรศัพท์ SOS: โทรศัพท์ฉุกเฉินสำหรับติดต่อขอความช่วยเหลือ
  • ก๊อกน้ำ: จุดบริการน้ำดื่มสะอาด
  • โรงพยาบาล: ป้ายแสดงโรงพยาบาล
  • ตัว P: ป้ายแสดงที่จอดรถ
  • เรือ: ป้ายชี้ทางไปท่าเรือโดยสาร

ป้ายสัญลักษณ์จราจร ประเภทเครื่องหมายบนพื้นถนน

  • ป้ายสัญลักษณ์จราจร หรือ เส้นจราจรบนพื้นถนน (เส้นสีขาว)
เส้นจราจรบนพื้นถนน (เส้นสีขาว) หมายถึง ใช้สำหรับถนนที่มีการจราจรไปในทิศทางเดียวกัน โดยมีความแตกต่างกันดังนี้
  • เส้นทึบสีขาว: ห้ามเปลี่ยนเลน หรือแซงในบริเวณที่มีเส้นนี้ มักใช้ในบริเวณที่เสี่ยงอันตราย เช่น บนสะพาน ทางโค้ง ทางขึ้นลงเขา บางครั้งจะอยู่ริมถนนเพื่อบอก ขอบถนนด้านซ้าย
  • เส้นประสีขาว: อนุญาตให้เปลี่ยนเลนหรือแซงได้ เมื่อปลอดภัย ใช้ในถนนที่มีความปลอดภัยพอสมควร และทัศนวิสัยดี
  • เส้นทึบสีขาวคู่: ห้ามเปลี่ยนเลนโดยเด็ดขาด (ใช้ในบริเวณที่อันตรายมาก)
  • เส้นทึบสีขาวคู่กับเส้นประสีขาว: ฝั่งประสามารถแซงได้ ฝั่งทึบห้ามแซง
  • เส้นหยุด: เส้นสีขาวทึบแนวนอนขวางถนน อยู่ก่อนถึงทางแยกหรือทางข้าม หมายถึงให้หยุดรถก่อนเส้นนี้ เมื่อติดไฟแดง หรือมีป้าย "หยุด"
  • เส้นทางม้าลาย: ใช้สำหรับให้คนข้ามถนน ต้องหยุดรถให้คนข้ามก่อน

  • ป้ายสัญลักษณ์จราจร หรือ เส้นจราจรบนพื้นถนน (เส้นสีเหลือง)

เส้นจราจรบนพื้นถนน (เส้นสีเหลือง) หมายถึง ใช้สำหรับถนนที่มีการจราจรในทิศทางตรงกันข้ามหรือคนละทิศทางกัน โดยมีความแตกต่างกันดังนี้

  • เส้นทึบสีขาว: ห้ามเปลี่ยนเลน หรือแซงในบริเวณที่มีเส้นนี้ มักใช้ในบริเวณที่เสี่ยงอันตราย เช่น บนสะพาน ทางโค้ง ทางขึ้นลงเขา บางครั้งจะอยู่ริมถนนเพื่อบอก ขอบถนนด้านซ้าย
  • เส้นประสีขาว: อนุญาตให้เปลี่ยนเลนหรือแซงได้ เมื่อปลอดภัย ใช้ในถนนที่มีความปลอดภัยพอสมควร และทัศนวิสัยดี
  • เส้นทึบสีขาวคู่: ห้ามเปลี่ยนเลนโดยเด็ดขาด (ใช้ในบริเวณที่อันตรายมาก)
  • เส้นทึบสีขาวคู่กับเส้นประสีขาว: ฝั่งประสามารถแซงได้ ฝั่งทึบห้ามแซง
  • เส้นหยุด: เส้นสีขาวทึบแนวนอนขวางถนน อยู่ก่อนถึงทางแยกหรือทางข้าม หมายถึงให้หยุดรถก่อนเส้นนี้ เมื่อติดไฟแดง หรือมีป้าย "หยุด"
  • เส้นทางม้าลาย: ใช้สำหรับให้คนข้ามถนน ต้องหยุดรถให้คนข้ามก่อน

  • ป้ายสัญลักษณ์จราจร หรือ เส้นจราจรบนพื้นถนน (เส้นสีเหลือง)

เส้นจราจรบนพื้นถนน (เส้นสีเหลือง) หมายถึง ใช้สำหรับถนนที่มีการจราจรในทิศทางตรงกันข้ามหรือคนละทิศทางกัน โดยมีความแตกต่างกันดังนี้

  • เส้นทึบสีเหลือง: ห้ามขับรถข้ามเส้นไปอีกฝั่งโดยเด็ดขาด ใช้แบ่งเขตถนนที่รถวิ่งสวนทางกัน เช่น ถนนสองเลนสวนทางกัน มักพบในบริเวณที่ทัศนวิสัยไม่ดีหรือมีความเสี่ยงอันตราย เช่น ทางโค้ง ทางขึ้นเขา ทางลงเขา
  • เส้นประสีเหลือง: อนุญาตให้แซงได้เมื่อปลอดภัย ใช้แบ่งถนนสองเลนสวนทางกันในพื้นที่ที่ทัศนวิสัยดี ไม่มีความเสี่ยงอันตรายมาก
  • เส้นทึบสีเหลืองคู่: ห้ามข้ามเลนโดยเด็ดขาดทั้งสองฝั่ง ใช้ในถนนที่มีรถสวนกันและมีความเสี่ยงสูงมาก เช่น ทางลาดชัน ทางโค้งอันตราย
  • เส้นทึบสีเหลืองคู่กับเส้นประสีเหลือง: ฝั่งที่เป็นเส้นประสามารถแซงหรือข้ามเลนได้ เมื่อปลอดภัย ส่วนฝั่งเส้นทึบห้ามแซงหรือข้ามเลนเด็ดขาด ใช้ควบคุมการแซงบนถนนสวนทางในบางช่วง


กฎหมายและข้อบังคับเกี่ยวกับเครื่องหมายจราจร

  • พ.ร.บ. ทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 21

ผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติตามสัญญาณจราจรและเครื่องหมายจราจรที่ติดตั้งไว้บนทางสาธารณะ หรือที่เจ้าพนักงานจราจรแสดงให้ทราบ ไม่ว่าจะเป็นป้ายจราจร เส้นจราจร หรือสัญญาณมือจากเจ้าหน้าที่ หากฝ่าฝืน ผู้ขับขี่จะมีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท ตามที่ระบุไว้ในกฎหมาย

  • พ.ร.บ. ทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 22

กำหนดให้ผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติตามสัญญาณไฟจราจรหรือเครื่องหมายจราจรที่ติดตั้งไว้บนท้องถนน เช่น ไฟแดงต้องหยุดรถทันที ไฟเหลืองต้องเตรียมหยุดรถ หรือไฟเขียวสามารถขับรถผ่านไปได้ หากฝ่าฝืนมีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 1,000 บาท

  • พ.ร.บ. ทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 53

เป็นบทบัญญัติที่กำหนดข้อห้ามในการเลี้ยวรถหรือกลับรถ ห้ามผู้ขับขี่ทำการเลี้ยวรถหรือกลับรถในบริเวณที่มีป้ายห้ามเลี้ยวหรือห้ามกลับรถที่ติดตั้งไว้ เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุและการจราจรติดขัด หากฝ่าฝืนมีโทษปรับตั้งแต่ 400 ถึง 1,000 บาท ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่

  • พ.ร.บ. ทางหลวง พ.ศ. 2535 มาตรา 51

ห้ามมิให้ผู้ใดขัดขวางการกระทำของผู้อำนวยการทางหลวง หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการทางหลวง หรือเจ้าพนักงานซึ่งผู้อำนวยการทางหลวงแต่งตั้งในการปฏิบัติหน้าที่ หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

  • กฎกระทรวง กำหนดเครื่องหมายจราจรบนพื้นทาง พ.ศ. 2563

เพื่อกำหนดรูปแบบ ลักษณะ ความหมาย และการแสดงของเครื่องหมายจราจรที่เขียน แสดง หรือทำให้ปรากฏบนพื้นทาง เพื่อให้ผู้ขับขี่และผู้ใช้ทางอื่นทราบและปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ ซึ่งส่งผลต่อความปลอดภัยและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของการจราจร

 

หากฝ่าฝืนกฎหมายจราจร มีบทลงโทษและค่าปรับอย่างไร?

  • ขับรถฝ่าไฟแดง

ผู้ขับขี่ที่ไม่หยุดรถเมื่อสัญญาณไฟจราจรเป็น "ไฟแดง" ถือว่าฝ่าฝืนกฎหมายจราจร มีโทษปรับ ไม่เกิน 4,000 บาท

  • ขับรถเกินความเร็วที่กำหนด

ผู้ขับขี่ที่ใช้ความเร็วเกินกว่าที่กำหนดในแต่ละพื้นที่ เช่น 80 กม./ชม. ในเขตเมือง มีโทษ ปรับไม่เกิน 4,000 บาท

  • ขับรถในขณะเมาสุรา

กรณีตรวจพบปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายเกินกว่ากฎหมายที่กำหนด มีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 - 20,000 บาท จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ

  • ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย

ผู้ขับขี่และผู้โดยสารทุกคนต้องคาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งที่ใช้รถ หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท

 

การปฏิบัติตามเครื่องหมายจราจรอย่างเคร่งครัด ช่วยให้การเดินทางของคุณปลอดภัยและราบรื่น  เช่นเดียวกับการดูแลแบตเตอรี่รถยนต์ให้พร้อมใช้งานก็สำคัญไม่แพ้กัน ให้รถของคุณพร้อมสำหรับการใช้งานอยู่เสมอ ด้วยเครื่องชาร์จแบตเตอรี่ CTEK

 

เตรียมแบตฯ รถยนต์ให้พร้อมสำหรับทุกเส้นทาง ด้วยเครื่องชาร์จแบตเตอรี่ CTEK

การขับขี่บนท้องถนนอย่างปลอดภัยและราบรื่นเริ่มต้นจากการเข้าใจความหมายป้ายสัญลักษณ์จราจร นอกจากนี้ยังต้องเข้าใจธรรมชาติของแบตเตอรี่รถด้วย เพราะแบตเตอรี่รถยนต์เป็นเหมือนหัวใจของรถที่คุณไม่ควรมองข้าม หากรถของคุณจอดนิ่งเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เช่น มีรถหลายคัน แต่ขับอยู่คันเดียว ส่วนรถคันอื่นที่จอดทิ้งไว้นาน แบตเตอรี่จะคายประจุจนสตาร์ทไม่ติด ทำให้แบตฯ เสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เสียทั้งเวลาและอารมณ์เมื่อรถสตาร์ทไม่ติด และที่สำคัญเสียเงินไปกับการเปลี่้ยนแบตฯ บ่อย ๆ โดยเฉพาะรถยุโรปทีใช้แบตเตอรี่ราคาหลักหมื่นแต่ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป เพียงแค่มีเครื่องชาร์จแบตเตอรี่ CTEK ที่ช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตฯ และมั่นใจได้ว่ารถของคุณจะพร้อมใช้งานอยู่เสมอ โดยที่คุณไม่ต้องเสียเวลาเอารถไปวนขับ ด้วยคุณสมบัติที่ชาร์จเต็มแล้วตัดไฟอัตโนมัติ และการใช้งานที่ง่ายดาย ทำให้รถของคุณพร้อมเร่งเครื่องไปได้ทุกสถานการณ์

 

ดูแลรักษาแบตเตอรี่ให้มีอายุการใช้งานยาวนานเต็มประสิทธิภาพ ด้วย เครื่องชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ CTEK จากสวีเดน ที่ได้รับความไว้วางใจผลิตเครื่องชาร์จแบตฯ ให้กับรถยนต์ชั้นนำมากที่สุดในโลก เช่น Mercedes-Benz, Porsche, Rolls-Royce, Lamborghini, Ferrari, McLaren, Bentley, Maserati, BMW, Mini, Audi, Jaguar, Lexus, Koenigsegg, Chrysler, Jeep และอื่น ๆ อีกมากมาย

 

โดยรุ่นที่แนะนำคือ CTEK MXS 5.0 เครื่องชาร์จที่เหมาะกับทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า (EV) คุณสมบัติเด่น:

- กระแสชาร์จสูงสุด 5A

- เหมาะสำหรับแบตเตอรี่ตะกั่ว-กรด 12V ขนาด 1.2 - 110Ah

- ชาร์จเต็มแล้วตัดไฟอัตโนมัติ

- ชาร์จทิ้งไว้ได้เป็นเดือนๆ CTEK จะคอยเติมไฟอัตโนมัติ เมื่อแบตฯ คายประจุ

- ใช้งานง่าย ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านช่างก็สามารถใช้งานได้

- เป็นรุ่นขายดีที่สุดในปัจจุบัน

- ไม่ต้องถอดขั้วแบตเตอรี่ ไม่ต้องยกแบตฯ ออกจากรถ

- ปลอดภัย มีระบบป้องกันการเกิดประกายไฟ ป้องกันการคีบสลับขั้ว

- รับประกัน 5 ปี

ควรชาร์จแบตเตอรี่ด้วย CTEK เป็นประจำสัปดาห์ละครั้ง

ให้รถคันโปรดของคุณพร้อมใช้งานเสมอ แม้ไม่ได้ขับออกไปไหนบ่อย ๆ สั่งซื้อเลยวันนี้!

 

 

CTEK MXS 5.0

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้