Last updated: 27 พ.ค. 2568 | 42 จำนวนผู้เข้าชม |
เมื่อมีการคุยกันถึงการสะสมรถยนต์ หรือประเภทรถที่ชื่นชอบและอยากหามาครอบครองไว้ นับว่ามีอยู่มากมายหลายประเภท ไม่ว่าจะซูเปอร์คาร์, รถโบราณ ไปจนถึงรถจากสนามแข่งระดับตำนาน เช่น MG EX182 จากรายการ 24 Hours of Le Mans (24 ชั่วโมง เลอม็อง) เป็นต้น
หนึ่งในนั้นที่ไม่หยิบมาพูดถึงไม่ได้เลย ก็คือรถ JDM ซึ่งมักจะเป็นหนึ่งในหัวข้อเหล่านั้นเสมอ และสำหรับคนบางกลุ่มก็อาจถูกยกให้มีมูลค่าเหนือกว่าซูเปอร์คาร์เสียด้วยซ้ำ ทั้งด้วยเสน่ห์ของรถยุค 90, ความหายาก, การเป็นภาพจำจากสื่อบันเทิงชื่อดัง รวมถึงความพิเศษต่าง ๆ ซึ่งไม่สามารถหาได้ในตลาดรถทั่วไป
ในบทความนี้ APRTECH จะพามาทำความรู้จักกับ JDM Car รถญี่ปุ่นที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ทำไมรถชนิดนี้ถึงได้รับความนิยมในหมู่นักสะสม
รถ JDM Car หรือชื่อเต็ม ๆ คือ Japanese Domestic Market คือรถยนต์และชิ้นส่วนที่ถูกผลิตขึ้นมาให้เป็นไปตามกฎระเบียบของประเทศญี่ปุ่น ในขณะที่บางกลุ่มจะตีความหมายเป็นการแต่งรถรูปแบบหนึ่ง ที่ใช้อะไหล่หรือชิ้นส่วนจากญี่ปุ่นมาติดตั้งไว้ให้เหมือนกับรถที่ผลิตมาจากญี่ปุ่น
ส่วนสาเหตุว่าทำไมต้องเป็นรถหรือชิ้นส่วนจากญี่ปุ่นนั้น ทั้ง ๆ ที่รถหลายแบรนด์หลายรุ่นในปัจจุบันก็ผลิตที่ญี่ปุ่นเหมือนกัน
ต้องอธิบายก่อนว่า รถที่ผลิตจากโรงงานของญี่ปุ่น จะมีอยู่ 2 สเปก คือ แบบขายในประเทศ และแบบส่งออกไปขายประเทศอื่น ซึ่งอะไหล่บางชิ้นจะไม่เหมือนกัน บางครั้งก็จะใช้ชื่อรุ่นแตกต่างกัน เช่น Honda Jazz ที่บ้านเรารู้จักกัน แต่ในประเทศญี่ปุ่นจะวางขายในชื่อ Honda Fit
ตรงนี้ไม่ใช่เพราะผู้ผลิตอยากใส่เข้าไปตามใจชอบเพื่อให้ดูต่างจากตลาดประเทศอื่น แต่เป็นเพราะรถในประเทศญี่ปุ่น ต้องผ่านการทดสอบตามกฎหมายอันเข้มงวดที่เรียกว่า Shaken (車検) ทุก ๆ 2 ปี สำหรับรถยนต์และจักรยานยนต์ที่มีขนาด 250 ซีซี และมีอายุ 3 ปีขึ้นไป จึงทำให้ผู้ผลิตต้องปรับสเปกเพื่อให้ผ่านการทดสอบนี้ จุดนี้ทำให้หลายคนมองว่ารถที่ผลิตเพื่อขายในญี่ปุ่นนั้น มีคุณภาพสูงกว่ารุ่นที่ส่งออกต่างประเทศนั่นเอง
ปัจจุบันการนิยามความหมายของ JDM ก็เปลี่ยนแปลงไป ไม่ได้จำกัดอยู่แค่รถที่ผลิตในญี่ปุ่นทั้งหมด แต่ยังรวมถึงรถซิ่งสไตล์ญี่ปุ่น, รถญี่ปุ่นรุ่นดังในอดีต หรือรถที่ขายในญี่ปุ่นแล้วนำมาแต่งด้วยอะไหล่จากญี่ปุ่นอีกด้วย
โดยเอกลักษณ์ของรถ JDM คือจะให้ความสำคัญกับเอกลักษณ์ทั้ง 3 อย่าง ได้แก่
ถ้าให้ยืนพื้นความหมายตามชื่อแล้ว JDM คือรถที่ผลิตและขายในญี่ปุ่น ถ้าเป็นสไตล์ของรถแต่ง ก็คือต้องแต่งให้รถเวอร์ชันขายต่างประเทศ มีความคล้ายกับแบบที่ขายในญี่ปุ่นให้ได้มากที่สุด ทั้งอะไหล่ เครื่องยนต์ภายใน ไปจนถึงชิ้นส่วนตัวถังรถภายนอก
ซึ่งไทยเรานั้นค่อนข้างทำได้สบายและได้รับความนิยมสูงมาก เพราะสเปกรถที่ขายในบ้านเรานั้นมีความใกล้เคียงกับของญี่ปุ่น ร้านอะไหล่มือสองในไทยหลายแห่งก็เป็นแหล่งรวมอะไหล่ญี่ปุ่นมือสอง
เสน่ห์ของการแต่งหรือเล่น JDM Car นั้น คือความสนุกในการตามหาอะไหล่ ที่เมื่อประกอบจนครบสมบูรณ์ตามที่ต้องการแล้ว ยิ่งทำให้มูลค่าทางจิตใจเพิ่มขึ้นทะลุค่าตัวรถหรืออะไหล่เลยทีเดียว เพราะการที่จะได้มาจนครบสมบูรณ์นั้น ต้องอาศัยใจรักรวมถึงความอดทนสูงมาก
สำหรับการแต่ง JDM Car มีอยู่หลากหลายแนว แต่ละแนวจะมีรูปแบบการตกแต่งและดัดแปลงแตกต่างกันไป โดยสไตล์ที่นิยมแต่งกันจะมีดังนี้
สไตล์ที่เน้นเรื่องความหรูหราเป็นพิเศษ นิยมแต่งให้ตัวถังมีสีสด มีความเงาแบบประกายมุก ตัวถังต้องต่ำเท่าที่จะทำได้ ล้อรถต้องทั้งใหญ่ทั้งเงา ซึ่งนิยมเป็นล้อโครเมียมขนาด 20-22 นิ้ว บางครั้งจะทำองศาล้อให้เอียงออกมา และข้างในห้องโดยสารต้องอลังการ ไล่ตั้งแต่เบาะไปจนถึงพวงมาลัย บางครั้งอาจจะใส่เครื่องอำนวยความสะดวก เช่นตู้เย็น หรือ TV เข้าไปด้วย
สไตล์นี้จะเน้นไปที่ล้อเป็นพิเศษ โดยตัวล้อจะต้องเป็นล้อหน้ากว้าง และใช้กับยางหน้าแคบ เหมือนตัวล้อล้นออกมาเลยขอบยาง ส่วนตัวล้อส่วนมากจะต้องไม่ยื่นออกมาเกินซุ้ม อย่างมากแค่เฉียด ๆ ซึ่งสไตล์นี้จะแบ่งออกมาได้อีก 3 แบบย่อย ได้แก่
- Hella Flush: การใช้ยางหน้าแคบมารัดกับล้อหน้ากว้าง แล้วโหลดตัวรถให้เตี้ยลงมาเบียดกับซุ้มล้อให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ด้วยการทำองศาล้อให้เอียงลงมา โดยสไตล์นี้นิยมทำกันมากที่สุด
- Hella Fail: คล้ายกับ Hella Flush แต่ล้อจะเอียงออกมาเยอะกว่า จนเหมือนรถกำลังนอนราบไปกับพื้น
- Maxi Flush: เปลี่ยนจากยางหน้าแคบมาเป็นยางหน้ากว้าง จนต้องทำให้ล้อยื่นออกมานอกตัวถัง จนไม่สามารถตั้งองศาล้อให้เอียงออกมาได้ ซึ่งหลายคนมองว่ารูปแบบนี้ยังไม่ใช่ Flush แต่จะออกไปทางรถ Drag หรือรถแต่งสไตล์ Retro มากกว่า
สไตล์ที่เน้นชุดแต่งภายนอกดุดันแบบรถแข่งในสนาม แต่สามารถขับบนถนนได้ เน้นความแรงของเครื่องยนต์ ช่วงล่างแน่น ใส่ล้อแม็กและยางแบบนิ่ม ตัวรถต้องเน้นความเบาเพื่อให้เครื่องยนต์แสดงกำลังได้เต็มที่ และที่ลืมไปไม่ได้เลยคือ หางหลัง (Rear Wing) ของแต่งสำหรับช่วยเพิ่มแรงกด (Downforce) ช่วงท้ายรถ ต้องมีขนาดใหญ่ไว้ก่อนถึงจะสวย
นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีสไตล์การแต่งรถอีกแบบคล้าย ๆ กันด้วย นั่นคือ USDM Style ซึ่งเปลี่ยนจากการแต่งรถให้เหมือนที่ขายในญี่ปุ่น เปลี่ยนมาเป็นการใช้อะไหล่สเปกอเมริกา ที่เน้นสีสันและความเรียบหรูสะอาดตาของตัวรถกับห้องเครื่อง
ข้อดีที่ทำให้เจ้าของรถสาย JDM ชื่นชอบ คือความน่าเชื่อถือในด้านคุณภาพตามมาตรฐานญี่ปุ่น สมรรถนะสูง เทคโนโลยีล้ำสมัย และงานประกอบที่ทำมาอย่างดี เพราะรถที่วางขายในตลาดญี่ปุ่น จะมีมาตรฐานสูงทั้งในด้านวัสดุและการผลิต เพื่อรองรับการซ่อมบำรุงในอนาคต สามารถแต่งหรือจูนเครื่องได้ง่าย มีของให้เลือกเยอะ อีกทั้งดีไซน์ของตัวรถสวยงามเป็นเอกลักษณ์ ชนิดที่ว่าขับไปบนถนน หรือไปจอดในงานรวมตัวนัดพบของผู้รักรถแต่งงานไหน ก็สามารถดึงดูดสายตาคนได้อย่างแน่นอน และที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือเป็นรถที่ขับสนุกไม่น้อย ไม่ว่าจากเครื่องยนต์ที่ให้ความเร็วสูง การควบคุมที่เข้ามือ หรือความรู้สึกหลังพวงมาเลยอันตื่นเต้นเร้าใจ
ทางฝั่งของมูลค่าของ JDM Car รุ่นดัง ๆ บางคัน เป็นรถรุ่นเก่าที่บางรุ่นไม่มีผลิตแล้ว ทำให้คุณค่าในฐานะรถสะสมจึงเพิ่มขึ้นตามมาด้วย ขึ้นอยู่กับว่าในช่วงนั้นรถรุ่นไหนเป็นกระแส ยิ่งเป็นรถจากหนังหรืออานิเมะ ราคาก็จะดีดไปค่อนข้างสูง เช่น Toyota Sprinter Trueno ae86 จากอานิเมะ Initial D ราคาเปิดตัวในญี่ปุ่นจะตกอยู่ที่ 200,000-300,000 บาท ราคามือสองจากปี 2024 จะขึ้นสูงถึง 2,500,000 บาทเลยทีเดียว
ด้วยความที่ JDM Car เป็นสเปกผลิตขายในตลาดญี่ปุ่นเป็นหลัก ทำให้การออกแบบของตัวรถนั้นจะรองรับได้แค่สภาพถนนและน้ำมันในญี่ปุ่นที่มีค่าออกเทนต่างกัน เช่นเดียวกับคุณสมบัติที่มากับรถก็จะรองรับแค่ของญี่ปุ่นเท่านั้น เช่นวิทยุไม่รองรับสัญญาณในไทย หรือหน้าจอต่าง ๆ ยังเป็นภาษาญี่ปุ่น ราคาขายต่อก็ไม่นิ่ง ขึ้นอยู่กับกระแสนิยมในวงการขณะนั้น ถ้าเป็นฝั่งยุโรปหรืออเมริกาก็อาจจะเจอปัญหาพวงมาลัยอยู่คนละฝั่ง นอกจากนี้รถบางรุ่นก็อาจไม่ผ่านมาตรฐานกรมขนส่งทางบกของบางประเทศ ทำให้ต้องมีการดัดแปลงเพื่อให้ผ่านข้อกำหนดได้ การจะนำเข้ามาก็ต้องแบกรับภาษีค่อนข้างสูง และการจะซื้อรถ JDM นั้นอาจต้องใช้เงินจ่ายเป็นก้อน หรือทำสัญญาผ่อนจ่ายกับเจ้าของเก่ากันเอง เพราะรถประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นรถจดประกอบหรือรถดัดแปลง ทำให้จัดไฟแนนซ์ไม่ได้
ในส่วนของการแต่งรถ หลัก ๆ ก็จะเป็นเรื่องของอะไหล่ที่หายาก เพราะศูนย์ในไทยจะมีอะไหล่แค่รุ่นที่ขายในไทยเท่านั้น ทำให้ต้องไปหาตามร้านอะไหล่มือสองหรือนำเข้าจากต่างประเทศเอง ซึ่งใช้เวลานาน อีกทั้งช่างที่เชี่ยวชาญรถ JDM ในไทยก็มีน้อยด้วย
ในวงการ JDM แม้จะมีอยู่มากมายหลายรุ่น แต่จะมีอยู่บางโมเดลที่เป็นเหมือนเป้าหมายสูงสุดในการหามาขับหรือครอบครอง โดยบางรุ่นนั้นปรากฏตัวอยู่ในภาพยนตร์, วิดีโอเกม หรืออานิเมะแนวแข่งรถ ถึงขั้นที่ว่าเป็นรถในฝัน (Dream Car) ของใครหลายคนอย่างแน่นอน แล้วรุ่นรถ JDM มีอะไรบ้าง เราเลือกมานำเสนอให้แล้วทั้งหมด 5 รุ่นด้วยกัน ได้แก่
รถยนต์ที่ถูกสร้างขึ้นมาครั้งแรกด้วยรหัส C10 ในปี 1969 และถูกพัฒนาขึ้นมาอีกเพื่อลงสนามแข่งในชื่อของ Nissan 2000GT-R โดยคำว่า GT-R นั้นย่อมาจาก Gran Turismo Racer หรือรถที่ทำมาเพื่อแข่งในรายการ Gran Turismo นั่นเอง แต่หลังโครงการ GT-R หยุดลงเพราะวิกฤติพลังงาน ก็ถูกนำกลับมาสานต่อในปี 1989 เพื่อพัฒนารถสำหรับลงแข่งรายการ Japanese Touring Car Championship (JTCC) ภายใต้รหัส R32 โดยเป็น Skyline GT-R รุ่นแรก ๆ ที่ขับเคลื่อนด้วย 4 ล้อ และเป็นมาตรฐานของรถรุ่นหลัง ๆ ซึ่งได้สร้างชื่อในรายการต่างประเทศอย่าง Australian Touring Car Championship จนได้ฉายาว่า The Godzilla เป็นการเปรียบเทียบกับสัตว์ประหลาดจากภาพยนตร์ญี่ปุ่นที่ทรงพลังและยากจะต่อกรได้
ส่วนรุ่นที่ครองใจชาว JDM มาอย่างยาวนานนั้น คือ R34 ซึ่งถูกจัดอยู่ใน GT-R Generation 5 ของปี 1999 เป็นที่รู้จักจากการปรากฏตัวในภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่อง Fast & Furious ในฐานะรถคู่ใจของ Brian O'Conner ซึ่งรับบทโดยนักแสดงผู้ล่วงลับ Paul Walker
Toyota Supra รถ JDM ระดับตำนาน เริ่มต้นออกสู่ตลาดในช่วงปี 1982 ถึง 1985 โดยใช้ชื่อรุ่นแรกว่า Toyota Celica Supra มีตัวถังรหัส A40 และ A50 ต่อมาในรุ่นที่ 2 (รหัส A60) ได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มาพร้อมสมรรถนะโดดเด่นด้วยเครื่องยนต์ 6 สูบเรียง 12 วาล์ว 168 แรงม้า สามารถทำความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 8.7 วินาที และมีไฟหน้าแบบ Pop-Up อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จนกระทั่งมาถึงรุ่นที่ 3 ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น Toyota Supra อย่างเป็นทางการ
แต่รุ่นที่สร้างชื่อเสียงจนกลายเป็นตำนานของวงการคือ Toyota Supra A80 ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากรถสปอร์ตคลาสสิก Toyota 2000GT มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 2JZ-GE ให้กำลัง 220 แรงม้า แรงบิด 285 นิวตันเมตร ยังมีเครื่องยนต์ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นคือ 2JZ-GTE ให้กำลังถึง 276 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 318 นิวตันเมตร อย่างไรก็ตาม ในปี 2002 ยอดขายของ Supra ลดลงเนื่องจากวิกฤตการณ์เศรษฐกิจโลกในขณะนั้น ทำให้ Toyota ตัดสินใจหยุดการผลิตรถรุ่นนี้ไปอย่างถาวร
เจ้าของฉายา Ferrari แดนอาทิตย์อุทัย และเป็นรถสปอร์ตคันแรกของค่าย โดยชื่อรุ่นนั้นย่อมาจาก New Sportcar eXperimental ที่มีเงินอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีความพยายามด้วย เพราะเป็นโมเดลที่หายากมาก ๆ ทั้ง NSX รุ่นแรก และตัวดังอย่าง NSX R โดยรถรุ่นนี้ทั้งไลน์การผลิตมีออกมาแค่ 2 รุ่นเท่านั้น โดยรุ่นแรกผลิตอยู่ช่วง 1990-2005 ซึ่งเป็นต้นแบบให้กับตระกูล Type R ที่เป็นไลน์รถซิ่งเจ้าของโลโก้ H สีแดง ส่วนรุ่น 2 ผลิตในช่วงปี 2016-2022 ก่อนจะหันไปพัฒนารถไฟฟ้าแทน
และนี่ก็ยังเป็นอีกรุ่นที่ราคาไม่มีวี่แววว่าจะตกเลย เพราะแม้จะหายาก ไม่มีผลิตแล้ว แถมแพงมาก ๆ แต่ก็ยังเป็นรถที่ดี รวมถึงเทคโนโลยีก็ถือว่าล้ำยุคมากทั้ง 2 Generation
รถสปอร์ตจากปี 1978 เจ้าของเครื่องยนต์โรตารีที่เล็กแต่รอบหมุนสูง เป็นเหมือนเครื่องหมายการค้าของรถรุ่นนี้ มีจุดเด่นคือน้ำหนักเบาแต่สมดุล จากการออกแบบให้จุดศูนย์ถ่วงต่ำ รวมทั้งสไตล์การออกแบบโฉบเฉี่ยว และอีกจุดขายสำคัญที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้เลย คือสร้างประสบการณ์ขับขี่ที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะในแง่ความทรงพลังของเครื่องยนต์
ในช่วงเวลานั้น ชาวโลกได้จดจำ RX-7 ในฐานะรถสปอร์ตญี่ปุ่นที่แม้ไม่หรูแต่มีทรงพลังเอามาก ๆ ถึงจะเป็นเครื่องยนต์โรตารีขนาดเล็กก็ตาม ซึ่งนั่นก็ทำเอาชาวตะวันตกต้องยอมรับกันเลยทีเดียว
ถ้า Skyline GT-R R32 เป็น The Godzilla นี่ก็คือ Oxygen Destroyer อาวุธทำลายล้างที่ใช้ล้ม Godzilla โดย Lancer Evolution รุ่นแรก เปิดตัวครั้งแรกในปี 1991 นำมาพัฒนาเพื่อลงสนามทางวิบาก ด้วยตัวถังแข็งแรง เพิ่มสปอยเลอร์หลังพร้อมกันชนหน้าที่ช่องดักลมกว้าง ใช้เครื่องยนต์รหัส 4G-63 เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร 250 แรงม้า สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 ทำได้ใน 5.1 วินาที และได้มีการพัฒนาเครื่องยนต์อัดแรงม้าเข้าไปอีก จนมาถึง Mitsubishi Lancer Evolution X ที่เป็นรุ่นสุดท้าย ที่ดันไปสูงสุด 295 แรงม้า และ 440 แรงม้า สำหรับรุ่น FQ แล้วก็ยุติการผลิตอย่างเป็นทางการไปในปี 2016 เพราะมีต้นทุนการผลิตสูง
ส่วนตำนานฉายา Godzilla Killer นั้น เริ่มต้นจากช่วงเปิดตัว Lancer Evolution III ได้ไปคว้าแชมป์ WRC World Rally Championship มาในปี 1996 โดยมี Tommi Mäkinen เป็นผู้ขับ แล้วทาง Mitsubishi ซึ่งสมัยนั้นถือว่าเป็นค่ายผลิตรถที่ชื่นชอบและแสวงหาความท้าทายเอามาก ๆ อยากจะวัดความแรงของรถรุ่นใหม่นี้ว่าจะไปถึงขั้นไหน เลยไปท้าดวลกับ Nissan Skyline GT-R R32 เจ้าของฉายา The Godzilla ในสนามโทเกะ (Tōge) ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสนามที่ขับยากอีกแห่งในญี่ปุ่น โดยผู้ชมตอนนั้นไม่คิดว่าจะสู้ไหว เพราะภาพลักษณ์ของ Lancer EVO นั้น ดูเหมือนรถใช้งานทั่วไปมากกว่าเอาแข่งในสนาม แต่ผลคือ Lancer Evolution III สามารถเอาชนะ R32 ไปได้ โดยไม่ใช่แค่การแสดงความเหนือชั้น แต่เป็นการพิสูจน์ว่ารถรุ่น 3 ของพวกเขาสามารถเอาชนะสนามสุดโหดแห่งนี้ได้
รถ JDM Car ถือเป็นรถที่ต้องการการดูแลรักษาเป็นพิเศษ เพราะอะไหล่บางรุ่นอาจเลิกผลิตไปแล้ว ทำให้เจ้าของรถเลือกจอดเก็บไว้สะสม หรือเข้าร่วมงานแสดงรถยนต์ในบางครั้ง แล้วหันไปใช้งานรถคันอื่นแทน ซึ่งการจอดทิ้งไว้เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้แบตเตอรี่ค่อยคายประจุไฟจน ๆ หมด และเสื่อมสภาพในที่สุด เช่นเดียวกับรถแบบอื่น ๆ ถ้าหากไม่นำรถออกมาใช้งานเป็นประจำ ปัญหาดังกล่าวก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน
เพื่อให้รถของคุณพร้อมสร้างความประทับใจในทุกการขับขี่ ดูแลแบตเตอรี่ด้วยเครื่องชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์อัจฉริยะ CTEK ช่วยเติมประจุไฟให้เต็ม เหมือนรถที่ออกไปใช้งานเป็นประจำทุกวัน มาพร้อมระบบตัดไฟอัตโนมัติ ป้องกันการ Overcharge ช่วยรักษาสภาพแบตเตอรี่ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ แม้ว่าไม่ได้ขับรถเป็นเดือน ๆ ก็ตาม
นอกจากนี้ CTEK ยังได้รับความไว้วางใจผลิตเครื่องชาร์จแบตฯ ให้กับรถยนต์ชั้นนำมากที่สุดในโลก เช่น Mercedes-Benz, Porsche, Rolls-Royce, Lamborghini, Ferrari, McLaren, Bentley, Maserati, BMW, Mini, Audi, Jaguar, Lexus, Koenigsegg, Chrysler, Jeep และอื่น ๆ อีกมากมาย
โดยรุ่นที่แนะนำคือ CTEK MXS 5.0 ชาร์จได้ทั้งกับรถยนต์และมอเตอร์ไซค์
- กระแสชาร์จสูงสุด 5A
- เหมาะสำหรับแบตเตอรี่ตะกั่ว-กรด 12V ขนาด 1.2 - 110Ah
- ใช้งานง่าย ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านช่างก็สามารถใช้งานได้
- รุ่นขายดีที่สุดในปัจจุบันรับประกัน 5 ปี
- ชาร์จเต็มแล้วตัดไฟอัตโนมัติ
- มีระบบเลี้ยงไฟ คอยเติมไฟอัตโนมัติ สามารถชาร์จทิ้งไว้ได้เป็นเดือน
ให้รถ JDM หรือคันโปรดรุ่นอื่น ๆ ของคุณ ได้ขับออกไปอวดโฉมอย่างสบายใจ สั่งซื้อ CTEK เลยวันนี้!
27 พ.ค. 2568
27 พ.ค. 2568
27 ม.ค. 2566
22 พ.ค. 2568