Last updated: 4 ส.ค. 2568 | 48 จำนวนผู้เข้าชม |
ปัจจุบัน อุบัติเหตุบนท้องถนนมักเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ดังนั้น การเดินทางทั้งในระยะใกล้หรือไกล ผู้ขับขี่ควรหมั่นตรวจสอบสภาพรถให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเสมอ ไม่ว่าจะเป็นระบบแบตเตอรี่ น้ำมันเครื่อง ระบบไฟส่องสว่าง รวมถึงแรงดันลมยาง ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง เนื่องจากอุบัติเหตุส่วนใหญ่มักมีสาเหตุมาจากปัญหายางระเบิด หรือยางที่เสื่อมสภาพจนไม่สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บทความนี้ขอแนะนำเทคนิคที่ควรรู้สำหรับผู้ขับขี่ว่า ควรเติมลมยางรถยนต์เท่าไหร่ เพื่อความปลอดภัยและเหมาะสมกับรถยนต์แต่ละประเภท พร้อมทั้งขั้นตอนในการเติมลมยางอย่างถูกวิธี
การเติมลมยางรถยนต์ในแต่ละครั้ง จำเป็นต้องคำนึงถึงประเภทรถ ลักษณะการใช้งาน รวมถึงขนาดยาง เพื่อให้เติมลมได้ตามค่ามาตรฐาน PSI (Pounds per Square Inch) ที่เหมาะสม การเติมลมยางที่มากหรือน้อยเกินไป อาจส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพการขับขี่และความปลอดภัยได้
ในกรณีที่ลมยางอ่อนเกินไป จะทำให้ระยะเบรกยาวขึ้น ยางสึกหรอเร็วขึ้น ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ โดยสามารถสังเกตจากอาการพวงมาลัยหน่วง รถออกตัวช้า หรือมีความรู้สึกติดขัดเวลาขับผ่านโค้ง ส่วนการเติมลมยางแข็งเกินไป หากขับขี่จะรู้สึกว่ารถมีน้ำหนักเบาผิดปกติ ไม่เกาะถนน เกิดการสั่นสะเทือน ทำให้ควบคุมรถได้ยากขึ้น เพิ่มความเสี่ยงในการขับขี่
ค่า PSI ของรถยนต์แต่ละประเภท จะขึ้นอยู่กับขนาดยาง และวัตถุประสงค์ในการใช้รถ หากไม่แน่ใจว่ายางรถยนต์เติมลมเท่าไหร่ สามารถดูข้อมูลค่ามาตรฐานได้บนสติกเกอร์ที่ติดบริเวณข้างประตูคนขับ ฝาถังน้ำมัน หรือคู่มือของรถ ซึ่งจะเป็นค่าแรงดันลมภายในยางที่ผ่านการทดสอบจากโรงงานมาแล้ว โดยค่ามาตรฐานของรถแต่ละประเภทมีดังนี้
รถยนต์ส่วนบุคคล
รถกระบะทั่วไป, รถกระบะยกสูง, และรถกระบะที่บรรทุกของหนัก: ขนาดยาง 19-21 นิ้ว ควรเติมลมยางที่ 35-40 PSI ในกรณีบรรทุกของหนัก ควรเพิ่ม 2-3 PSI
รถตู้โดยสาร / รถตู้บรรทุกขนาดเล็ก: ขนาดยาง 15-16 นิ้ว ควรเติมลมยาง 43-55 PSI หากมีผู้โดยสารมากกว่า 7 คนให้เพิ่ม 2-3 PSI
การเติมลมรถยนต์อย่างถูกต้อง จะส่งผลต่อความปลอดภัยในการขับขี่ สมรรถนะของรถ รวมถึงอายุการใช้งานของยาง ก่อนเติมลมรถยนต์ในทุกครั้ง ควรปฏิบัติตามขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้
หากต้องการทราบว่ายางรถยนต์เติมลมเท่าไหร่ ควรวัดแรงดันด้วยเครื่องวัดหรือเกจที่ได้มาตรฐาน โดยควรวัดค่าที่ต่ำกว่าหรือใกล้เคียงกับตัวเลขบนแก้มยาง ซึ่งเป็นค่ามากสุดที่ยางรับได้ หรือค่ามาตรฐานจากโรงงาน
หากไม่มีเครื่องวัดส่วนตัว สามารถใช้เครื่องเติมลมยางที่ปั๊มน้ำมันได้ โดยขณะเติมลมควรตรวจเช็กจุกลมและหัวเติมลมพร้อมกันว่ามีความผิดปกติใด ๆ หรือไม่ รวมถึงควรวัดแรงดันเมื่อลมยางเย็น เพราะถ้ายางร้อน อากาศภายในจะเกิดการขยายตัว ทำให้ค่าที่วัดผิดพลาดได้
นอกจากการตรวจสอบแรงดันลมยางแล้ว ควรสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นภายนอก เช่น ดอกยางสึกไม่เท่ากัน ซึ่งอาจสะท้อนถึงปัญหาระบบช่วงล่าง หรือแรงดันลมยางที่ไม่เหมาะสม รวมถึงหากพบรอยแตก บวม หรือฉีกขาดจากของมีคม ควรเปลี่ยนยางทันที การดูแลและตรวจเช็กยางอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ เพิ่มความมั่นใจในการเดินทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แม้การเติมลมยางในระดับที่เหมาะสมจะช่วยให้การขับขี่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น แต่ยังมีผู้ขับขี่จำนวนไม่น้อยที่เข้าใจผิดว่า การเติมลมมากกว่าค่าที่กำหนดจะช่วยให้ขับขี่ดีขึ้น ทั้งที่ในความเป็นจริง การเติมลมทั้งน้อยหรือมากเกินไป ล้วนส่งผลเสียต่อการขับขี่และอาจก่อให้เกิดปัญหาได้ ดังนี้
โดยทั่วไปควรตรวจสอบและเติมลมรถยนต์อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง หรือทุก 12 สัปดาห์ในกรณีที่ใช้รถเป็นประจำ เพราะแรงดันลมยางสามารถลดลงได้เองตามธรรมชาติประมาณ 23 PSI ต่อเดือน นอกจากนี้ ยังควรปรับการตรวจเช็กลมยางตามสภาพภูมิอากาศ ดังนี้
การดูแลรักษายางรถยนต์อย่างถูกวิธี ไม่เพียงช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการเปลี่ยนยางบ่อยครั้ง แต่ยังเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้รถอีกด้วย นอกจากการเติมลมยางรถยนต์ให้เหมาะสมกับประเภทรถแล้ว ยังมีวิธีอื่น ๆ ที่ช่วยคงประสิทธิภาพของยางให้ใช้งานได้ยาวนานยิ่งขึ้น ดังนี้
นอกจากการเติมลมยางให้เหมาะสมแล้ว การดูแลแบตเตอรี่รถยนต์ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เนื่องจากการจอดรถทิ้งไว้นาน ๆ อาจทำให้ระบบไฟฟ้าและแบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียเวลาในการนำรถออกไปขับวนเพื่อกระตุ้นแบตเตอรี่ แนะนำให้ใช้ เครื่องชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ CTEK เครื่องชาร์จอัจฉริยะที่จะช่วยดูแลแบตเตอรี่ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ พร้อมฟีเจอร์กระตุ้นอายุการใช้งานให้ยาวนานขึ้น เพิ่มความมั่นใจทุกครั้งที่สตาร์ทรถ
การดูแลรถให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน เป็นสิ่งที่ผู้ขับขี่ไม่ควรมองข้าม เมื่อทราบแล้วว่า ยางรถยนต์เติมลมเท่าไหร่ การตรวจเช็กลมยางอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในกรณีที่จอดรถทิ้งไว้นาน เพราะอาจทำให้แรงดันลมยางลดลง หรือเกิดการเสื่อมสภาพของยางได้
นอกจากระบบยางแล้ว ระบบแบตเตอรี่ก็เป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญที่ต้องดูแล เครื่องชาร์จแบตเตอรี่ CTEK จึงเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการความมั่นใจว่ารถจะพร้อมใช้งานตลอดเวลา ด้วยเทคโนโลยีการชาร์จแบบอัจฉริยะ ช่วยคงระดับพลังงานของแบตเตอรี่ให้อยู่ในสภาพดี ทั้งสำหรับการบำรุงรักษาระยะยาว หรือเตรียมพร้อมก่อนออกเดินทาง ให้ทุกเส้นทางของคุณราบรื่นและปลอดภัยยิ่งขึ้น
ดูแลรักษาแบตเตอรี่ให้มีอายุการใช้งานยาวนานเต็มประสิทธิภาพด้วย ที่ชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ CTEK จากสวีเดน ที่ได้รับความไว้วางใจผลิตเครื่องชาร์จแบตฯ ให้กับรถยนต์ชั้นนำมากที่สุดในโลก เช่น Mercedes-Benz, Porsche, Rolls-Royce, Lamborghini, Ferrari, McLaren, Bentley, Maserati, BMW, Mini, Audi, Jaguar, Lexus, Koenigsegg, Chrysler, Jeep และอื่น ๆ อีกมากมาย
โดยรุ่นที่แนะนำคือ CTEK MXS 5.0 เครื่องชาร์จที่เหมาะกับทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า (EV) คุณสมบัติเด่น:
ควรชาร์จแบตเตอรี่ด้วย CTEK เป็นประจำสัปดาห์ละครั้ง
ให้รถคันโปรดของคุณพร้อมใช้งานเสมอ แม้ไม่ได้ขับออกไปไหนบ่อย ๆ สั่งซื้อเลยวันนี้!
3 ก.พ. 2568