รู้หรือไม่? รีเลย์รถยนต์ ทำหน้าที่อะไร? มีอะไรบ้าง

Last updated: 5 ส.ค. 2568  |  15 จำนวนผู้เข้าชม  | 

รีเลย์รถยนต์ทำหน้าที่อะไร

ระบบไฟฟ้าถือเป็นหัวใจสำคัญของรถยนต์สมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการสตาร์ทรถ เปิดไฟหน้า หรือใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในรถ ล้วนต้องพึ่งพากระแสไฟฟ้าที่ไหลเวียนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยหนึ่งในชิ้นส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมการจ่ายไฟก็คือ รีเลย์ (Relay) อุปกรณ์ขนาดเล็กที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมระบบไฟฟ้าให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในบทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจว่า รีเลย์รถยนต์ ทำหน้าที่อะไร มีความสำคัญอย่างไรต่อระบบไฟฟ้าในรถ และทำไมคุณไม่ควรมองข้ามการดูแลชิ้นส่วนนี้


ทำความรู้จัก รีเลย์รถยนต์ คืออะไร?

รีเลย์รถยนต์ คืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการควบคุมการไหลของกระแสไฟฟ้า มีลักษณะการทำงานคล้ายสวิตช์ แต่มีประสิทธิภาพสูงกว่า และสามารถรองรับแรงดันไฟฟ้าสูงได้ เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลเข้าสู่รีเลย์ ระบบจะทำหน้าที่เปิด-ปิดวงจรไฟฟ้าหลัก ซึ่งจ่ายกระแสไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในรถยนต์ เช่น มอเตอร์ไฟฟ้า ระบบปรับอากาศ ระบบไฟหน้า เป็นต้น


รีเลย์รถยนต์ ทำหน้าที่อะไร?

โดยทั่วไปแล้ว รีเลย์ทำหน้าที่ควบคุมการส่งกระแสไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้พลังงานภายในรถ เพื่อป้องกันไม่ให้สวิตช์หลักต้องรับภาระหนักเกินไป ซึ่งอาจส่งผลต่อความปลอดภัย อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบต่าง ๆ โดยสามารถสั่งการได้จากสวิตช์หลักภายในห้องโดยสาร

ตัวอย่างเช่น เมื่อเปิดสวิตช์ไฟหน้าจากในห้องโดยสาร วงจรขนาดเล็กจะส่งกระแสไฟฟ้าต่ำจากแบตเตอรี่ (ซึ่งมีฟิวส์ช่วยป้องกัน) ไปยังขดลวด (Coil) ภายในรีเลย์ ขดลวดจะสร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อดึงดูดแผ่นหน้าสัมผัส (Contact) ให้เคลื่อนจากจุด NC (Normally Closed จุดปิด) ไปยังจุด NO (Normally Open จุดเปิด) จนวงจรไฟฟ้าสมบูรณ์และอุปกรณ์เริ่มทำงาน ตามตัวอย่างด้านล่างนี้


ตัวอย่างการทำงานรีเลย์ในรถยนต์

ส่วนประกอบของรีเลย์ในรถยนต์ มีอะไรบ้าง?

ภายในรีเลย์หนึ่งชิ้นจะมีส่วนประกอบหลักอยู่ 2 ส่วน ที่ทำหน้าที่ในการเปิด-ปิด เพื่อสั่งการเชื่อมต่อวงจร ให้ส่งกระแสไฟไปยังระบบ ดังนี้

  • ขดลวด (Coil): เป็นส่วนที่สร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อให้หน้าสัมผัสเชื่อมต่อกัน โดยจะทำงานเมื่อได้รับแรงดันไฟฟ้าตามที่กำหนด ซึ่งจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับรุ่นและชนิดของรีเลย์
  • หน้าสัมผัส (Contact): คือบริเวณควบคุมการเปิด-ปิดวงจร

จุดต่อใช้งานมาตรฐาน (Standard connection points) ที่หน้าสัมผัสรีเลย์ประกอบด้วย

  • จุดต่อ NC (Normally Close): เป็นจุดเชื่อมต่อกับระบบไฟภายในรถ ซึ่งปกติหน้าสัมผัสจะต่อกันอยู่ เมื่อขดลวดเหนี่ยวนำทำงาน หน้าสัมผัสจะแยกออกจากจุดนี้ไปยังจุด NO
  • จุดต่อ NO (Normally Open): เป็นจุดเชื่อมต่อกับระบบไฟภายในรถ ซึ่งปกติหน้าสัมผัสจะแยกออกจากจุดนี้ เมื่อขดลวดเหนี่ยวนำทำงาน หน้าสัมผัสจะต่อกัน เพื่อส่งกระแสไฟ
  • จุดต่อ C (Common): จุดร่วมที่ต่อมาจากแหล่งจ่ายไฟ ก่อนจะถูกสลับไปยังจุด NO หรือ NC

รีเลย์รถยนต์ มีกี่ประเภท?

การแบ่งประเภทของรีเลย์มักแบ่งตามหน้าที่ในการรองรับแรงดันไฟฟ้าสูงหรือต่ำ โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ดังนี้

  1. รีเลย์กำลัง (Power relay)
    รีเลย์กำลัง ใช้สำหรับควบคุมวงจรไฟฟ้าที่มีกำลังสูง เช่น วงจรมอเตอร์สตาร์ท ซึ่งใช้รีเลย์ขนาดใหญ่ในการส่งกระแสไฟฟ้าจำนวนมากจากแบตเตอรี่ไปยังมอเตอร์ หรือสั่งการทำงานของคอมเพรสเซอร์แอร์
  2. รีเลย์ควบคุม (Control Relay)
    รีเลย์ควบคุม ใช้สำหรับควบคุมวงจรไฟฟ้าที่มีกำลังต่ำ หรือใช้ควบคุมรีเลย์กำลังอีกต่อหนึ่ง โดยทั่วไปมีขนาดเล็ก รองรับกระแสไฟฟ้าได้น้อยกว่ารีเลย์กำลัง มักใช้ในระบบไฟส่องสว่าง ไฟเลี้ยว แตร และระบบกระจกไฟฟ้า

นอกจากนี้ ยังมี รีเลย์พิเศษ ที่ใช้ควบคุมการทำงานแบบหน่วงเวลา การกำหนดจังหวะ หรืออุปกรณ์เสริมอื่น ๆ เช่น ไฟเลี้ยว ที่ปัดน้ำฝน สัญญาณกันขโมย เป็นต้น


ตัวอย่างการใช้รีเลย์ในรถยนต์ มีอะไรบ้าง?

นอกเหนือจากบทบาทสำคัญที่ช่วยในการปกป้องสวิตช์หลัก และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานแล้ว หน้าที่ของรีเลย์รถยนต์คือควบคุมการทำงานของระบบต่าง ๆ อยู่เบื้องหลัง ตัวอย่างการใช้รีเลย์รถยนต์ ทำหน้าที่อะไรบ้างภายในรถ มีดังนี้

  • ใช้ในการควบคุมไฟหน้า: รีเลย์ช่วยส่งกระแสไฟฟ้าให้กับโคมไฟหน้า โดยควบคุมให้กระแสไฟที่เข้าสู่หลอดไฟมีค่าที่ถูกต้องและคงที่ ช่วยให้ระบบทำงานได้อย่างปลอดภัย ลดภาระการทำงานของแบตเตอรี่
  • ใช้ในระบบแอร์: รีเลย์ควบคุมการทำงานของคอมเพรสเซอร์แอร์ โดยรับสัญญาณจากสวิตช์แอร์ภายในห้องโดยสาร เมื่อเปิดแอร์ รีเลย์จะสั่งให้คอมเพรสเซอร์เริ่มทำงานเพื่อสร้างความเย็น
  • ใช้ในระบบสตาร์ท: รีเลย์รับสัญญาณจากสวิตช์กุญแจ แล้วส่งกระแสไฟฟ้าขนาดใหญ่ไปยังมอเตอร์สตาร์ทเตอร์ เพื่อให้มอเตอร์หมุนได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  • ใช้ในระบบแตร: รีเลย์รับสัญญาณจากปุ่มแตร แล้วส่งกระแสไฟไปยังชุดกำเนิดเสียง โดยเฉพาะแตรบางรุ่นที่ใช้กระแสไฟสูง การใช้รีเลย์จะช่วยป้องกันไม่ให้สวิตช์แตรไหม้หรือเสียหาย
  • ใช้ในการควบคุมไฟเลี้ยว: ใช้รีเลย์ชนิดพิเศษที่ควบคุมจังหวะการกะพริบของไฟเลี้ยวและไฟฉุกเฉิน โดยภายในจะมีวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำให้เกิดการเปิดปิดวงจรเป็นจังหวะอย่างต่อเนื่อง

หน้าที่ของรีเลย์รถยนต์

คุณสมบัติที่ดีของรีเลย์รถยนต์

  • ความน่าเชื่อถือในการเปิด-ปิด (Reliable Switching): รีเลย์ที่ดีควรสามารถเปิด-ปิดวงจรไฟฟ้าได้อย่างแม่นยำและสม่ำเสมอ เมื่อได้รับสัญญาณควบคุม โดยหน้าสัมผัสภายใน (Contacts) ควรมีความทนทานต่อการอาร์ก (Arcing) รวมถึงการสึกหรอจากการเปิด-ปิดวงจรซ้ำๆ เพื่อให้มีอายุการใช้งานยาวนาน
  • ความสามารถในการทนกระแส (Current Rating): รีเลย์ต้องสามารถ ทนต่อกระแสไฟฟ้าสูงสุด ที่ไหลผ่านหน้าสัมผัสได้โดยไม่เกิดความร้อนสูงเกินไปหรือเสียหาย โดยพิกัดกระแสของรีเลย์ควรสูงกว่ากระแสที่อุปกรณ์ต้องการใช้ประมาณ 20-30% เพื่อความปลอดภัยต่อการใช้งาน

โดยข้อควรระวังในการเลือกรีเลย์รถยนต์ คือเลือกใช้ขนาดของรีเลย์ให้เหมาะกับอุปกรณ์ หรือระบบไฟฟ้าของรถ (12V หรือ 24V) และห้ามใช้รีเลย์ที่มีพิกัดกระแสต่ำกว่ากระแสที่อุปกรณ์นั้นใช้เด็ดขาด เพราะจะทำให้รีเลย์ร้อนจัดจนเกิดความเสียหาย


ประโยชน์ของรีเลย์รถยนต์

รีเลย์รถยนต์มีบทบาทสำคัญต่อระบบไฟฟ้าของรถเป็นอย่างมาก โดยหลักแล้วจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดภาระการทำงานของสวิตช์หลัก และป้องกันความเสียหายต่ออุปกรณ์จากการใช้กระแสไฟฟ้าสูง ประโยชน์หลัก ๆ ของรีเลย์มีดังนี้:

  • ความปลอดภัย: รีเลย์ช่วยลดกระแสไฟที่ไหลผ่านสวิตช์หลัก ทำให้สวิตช์ไม่ร้อนจัด ลดความเสี่ยงของการเกิดความร้อนสะสมสูงเกินไปในวงจร ซึ่งอาจนำไปสู่สายไฟละลาย หรือในกรณีที่ร้ายแรงที่สุดคือการเกิดเพลิงไหม้ได้
  • เสถียรภาพของระบบไฟฟ้า: รีเลย์ช่วยให้กระแสไฟฟ้าสามารถจ่ายไปยังอุปกรณ์ที่กินไฟเยอะ ๆ ได้อย่างสม่ำเสมอ ลดการสูญเสียแรงดันไฟฟ้าในระหว่างการจ่ายไฟ ทำให้หลอดไฟสว่างเต็มที่ หรือมอเตอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
  • ความแม่นยำและรวดเร็ว: รีเลย์สามารถเปิด-ปิดวงจรไฟฟ้าได้อย่างแม่นยำ ด้วยการใช้สัญญาณไฟฟ้ากระแสต่ำ ช่วยให้การทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ เช่น ไฟหน้า แตร หรือปั๊มเชื้อเพลิง สามารถตอบสนองได้ทันทีตามคำสั่ง
  • ประหยัดค่าใช้จ่าย ลดความซับซ้อนในการใช้งาน: การใช้รีเลย์ช่วยให้สามารถเดินสายไฟเส้นเล็กๆ จากสวิตช์ไปยังรีเลย์ได้ (แทนที่จะต้องเดินสายไฟเส้นใหญ่จากสวิตช์ไปยังอุปกรณ์โดยตรง) ทำให้ลดความซับซ้อนของวงจร ลดปริมาณสายไฟที่ใช้ และลดความเสี่ยงที่อุปกรณ์หรือสวิตช์ราคาแพงจะเสียหายจากการรับกระแสไฟเกินกำลัง

ซึ่งนอกจากการดูแลรีเลย์รถยนต์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในระบบไฟฟ้าของรถยนต์แล้ว อีกหนึ่งองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้คือแบตเตอรี่ ที่เปรียบเสมือนหัวใจสำคัญของระบบไฟฟ้าทั้งหมด เพื่อให้แบตเตอรี่ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งาน ควรดูแลด้วยเครื่องชาร์จแบตเตอรี่ CTEK เครื่องชาร์จอัจฉริยะที่ออกแบบมาเพื่อรักษาสภาพแบตเตอรี่ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้เสมอ ทำให้คุณมั่นใจได้ว่ารถของคุณจะพร้อมลุยทุกการเดินทางอย่างไม่มีสะดุด


ตรวจสอบรีเลย์รถยนต์และแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอ ใช้เครื่องชาร์จแบตฯ CTEK จากสวีเดน


CTEK แบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจผลิตเครื่องชาร์จแบตเตอรี่รถ ให้กับรถยนต์ชั้นนำมากที่สุดในโลก

โดยสรุปแล้ว หากถามว่า รีเลย์รถยนต์ ทำหน้าที่อะไร? อุปกรณ์นี้ทำหน้าที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในระบบไฟฟ้าของรถยนต์ ช่วยควบคุมการจ่ายกระแสไฟฟ้ากำลังสูงไปยังอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างปลอดภัยและแม่นยำ ด้วยการใช้สัญญาณไฟฟ้ากำลังต่ำในการเปิด-ปิดวงจรกระแสสูง รีเลย์จึงช่วยป้องกันปัญหาไฟช็อตหรือไฟกระชากที่อาจทำให้อุปกรณ์ระบบไฟฟ้าเสียหาย รวมถึงยังทำให้ระบบไฟฟ้าในรถยนต์ทำงานได้อย่างราบรื่น เช่น การควบคุมไฟหน้า ไฟเลี้ยว แตร หรือมอเตอร์สตาร์ต ซึ่งล้วนจำเป็นต่อประสิทธิภาพการขับขี่

แต่ระบบไฟฟ้าจะสมบูรณ์เต็มที่ได้ ต้องอาศัยการดูแลแบตเตอรี่ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ โดยเครื่องชาร์จอัจฉริยะอย่าง CTEK จะช่วยฟื้นฟู บำรุงรักษาแบตเตอรี่ให้ได้รับกระแสไฟที่เหมาะสม ป้องกันแบตเตอรี่อ่อน แม้ในกรณีที่รถจอดนานหรือนาน ๆ ใช้งานเพียงบางครั้ง ทำให้ระบบรีเลย์ รวมถึงอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ มีพลังงานที่เพียงพอและพร้อมทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อให้รถของคุณพร้อมลุยทุกเส้นทางอย่างมั่นใจ

ดูแลรักษาแบตเตอรี่ให้มีอายุการใช้งานยาวนานเต็มประสิทธิภาพด้วย ที่ชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ CTEK จากสวีเดน ที่ได้รับความไว้วางใจผลิตเครื่องชาร์จแบตฯ ให้กับรถยนต์ชั้นนำมากที่สุดในโลก เช่น Mercedes-Benz, Porsche, Rolls-Royce, Lamborghini, Ferrari, McLaren, Bentley, Maserati, BMW, Mini, Audi, Jaguar, Lexus, Koenigsegg, Chrysler, Jeep และอื่น ๆ อีกมากมาย

โดยรุ่นที่แนะนำคือ CTEK MXS 5.0 เครื่องชาร์จที่เหมาะกับทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า (EV) คุณสมบัติเด่น:

  • กระแสชาร์จสูงสุด 5A
  • เหมาะสำหรับแบตเตอรี่ตะกั่ว-กรด 12V ขนาด 1.2 - 110Ah
  • ชาร์จเต็มแล้วตัดไฟอัตโนมัติ
  • ใช้งานง่าย ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านช่างก็สามารถใช้งานได้
  • เป็นรุ่นขายดีที่สุดในปัจจุบัน
  • ไม่ต้องถอดขั้วแบตเตอรี่ ไม่ต้องยกแบตฯ ออกจากรถ
  • รับประกัน 5 ปี

ควรชาร์จแบตเตอรี่ด้วย CTEK เป็นประจำสัปดาห์ละครั้ง
ให้รถคันโปรดของคุณพร้อมใช้งานเสมอ แม้ไม่ได้ขับออกไปไหนบ่อย ๆ สั่งซื้อเลยวันนี้!

CTEK MXS 5.0

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้