มัลติมิเตอร์ คืออะไร? ใช้วัดอะไรได้บ้าง

Last updated: 14 พ.ย. 2568  |  75 จำนวนผู้เข้าชม  | 

มัลติมิเตอร์ คืออะไร

มัลติมิเตอร์ คืออุปกรณ์วัดทางไฟฟ้าที่รวมหลายฟังก์ชันไว้ในเครื่องเดียว ไม่ว่าจะเป็นการวัดแรงดันไฟฟ้า กระแสไฟฟ้า หรือความต้านทาน จึงเหมาะสำหรับใช้งานทั้งในบ้านและในงานช่างมืออาชีพ ปัจจุบันเครื่องมือนี้กลายเป็นหนึ่งในอุปกรณ์พื้นฐานที่ควรมีติดไว้ สำหรับงานติดตั้ง ซ่อมแซม หรือการตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ ให้ทำได้อย่างปลอดภัยและแม่นยำ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้มัลติมิเตอร์ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในทุกระดับผู้ใช้งาน

ด้วยความหลากหลายของฟังก์ชัน และความง่ายในการใช้งาน มัลติมิเตอร์จึงตอบโจทย์ได้ทั้งช่างไฟฟ้า นักเรียน นักศึกษา ไปจนถึงผู้ใช้งานทั่วไปที่ต้องการดูแลเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านหรือระบบไฟฟ้าในรถยนต์ ในบทความนี้ เราจะพาไปรู้จักกับมัลติมิเตอร์ให้มากขึ้น ตั้งแต่หลักการทำงาน การใช้งานพื้นฐาน ไปจนถึงประเภทที่ควรรู้ก่อนเลือกซื้อ

มัลติมิเตอร์ คืออะไร? ใช้วัดอะไร?

มัลติมิเตอร์ คืออะไร หลายคนอาจสงสัยว่าเครื่องมือนี้ใช้ทำอะไรบ้าง จริง ๆ แล้วมัลติมิเตอร์สามารถวัดค่าทางไฟฟ้าได้หลากหลายชนิด ดังตัวอย่างต่อไปนี้

  1. วัดแรงดันไฟฟ้า (Voltage - โวลต์)

    ใช้ตรวจสอบแรงดันไฟฟ้าทั้งกระแสตรง (DC) และกระแสสลับ (AC) เพื่อดูว่าระบบไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ปล่อยแรงดันได้ตามมาตรฐานหรือไม่

  2. วัดกระแสไฟฟ้า (Current - แอมป์)

    ตรวจสอบปริมาณกระแสไฟที่ไหลในวงจร ซึ่งมีความสำคัญต่อการประเมินโหลดของอุปกรณ์ไฟฟ้าและป้องกันการโอเวอร์โหลด

  3. วัดความต้านทาน (Resistance - โอห์ม)

    ใช้ทดสอบค่าความต้านทานของตัวต้านทานหรือสายไฟ เพื่อเช็กความสมบูรณ์ของวงจร หรือดูว่ามีการขาดของสายภายในหรือไม่

ทำความรู้จักประเภทของมัลติมิเตอร์: Analog vs. Digital

แม้หลายคนจะรู้ว่า Multimeter คืออุปกรณ์วัดไฟฟ้าอเนกประสงค์ แต่ทราบหรือไม่ว่ามัลติมิเตอร์มีทั้งแบบอนาล็อกและดิจิตอล ซึ่งแต่ละแบบมีลักษณะต่างกัน ดังนี้

  1. มัลติมิเตอร์แบบอะนาล็อก (Analog Multimeter)

    มัลติมิเตอร์แบบอะนาล็อกเป็นเครื่องวัดไฟฟ้ารุ่นดั้งเดิมที่แสดงผลด้วยเข็มบนหน้าปัดมาตรวัด โดยเข็มจะขยับตามค่าทางไฟฟ้าที่วัดได้ เหมาะสำหรับการดูค่าที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เช่น แรงดันไฟฟ้าผันผวน ซึ่งสามารถสังเกตการเคลื่อนไหวของเข็มได้ทันที ข้อดีของรุ่นนี้คือไม่ต้องใช้พลังงานจากแบตเตอรี่สำหรับวัดแรงดันและกระแสตรง และยังให้ความรู้สึกในการควบคุมแบบแมนนวล อย่างไรก็ตาม การอ่านค่าอาจทำได้ยากกว่ารุ่นดิจิทัล และมีโอกาสคลาดเคลื่อนจากการมองผิดมุม (parallax error) อีกทั้งตัวเครื่องยังค่อนข้างบอบบางต่อแรงกระแทก

  2. มัลติมิเตอร์แบบดิจิทัล (Digital Multimeter - DMM)

    มัลติมิเตอร์แบบดิจิทัลเป็นรุ่นที่พัฒนาต่อจากแบบอะนาล็อก โดยแสดงผลตัวเลขบนหน้าจอ LCD ทำให้การอ่านค่าทำได้ง่ายและแม่นยำมากขึ้น เหมาะสำหรับทั้งผู้เริ่มต้นใช้งานและช่างไฟมืออาชีพ อีกทั้งยังมักมาพร้อมฟังก์ชันเสริมหลากหลาย เช่น ตรวจสอบความต่อเนื่องของวงจร ทดสอบไดโอด หรือวัดอุณหภูมิและความถี่ในบางรุ่น ข้อดีคือให้ความสะดวกในการใช้งานและลดความผิดพลาดในการอ่านค่า แต่ก็มีข้อจำกัดตรงที่ต้องใช้แบตเตอรี่ในการทำงาน และบางรุ่นอาจมีราคาสูงกว่ามัลติมิเตอร์แบบอะนาล็อก

การตรวจสอบแบตเตอรี่ด้วยมัลติมิเตอร์

มัลติมิเตอร์ใช้วัดอะไร ในระบบรถยนต์

หากคุณกำลังสงสัยว่ามัลติมิเตอร์ใช้วัดอะไรในระบบรถยนต์ อุปกรณ์ชิ้นนี้มีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบความผิดปกติของระบบไฟฟ้าภายในรถ ไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่ ฟิวส์ หรืออุปกรณ์ควบคุมต่าง ๆ โดยเฉพาะในยุคที่รถยนต์พึ่งพาระบบไฟฟ้ามากขึ้น มัลติมิเตอร์จึงกลายเป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้สำหรับการดูแลและซ่อมบำรุงเบื้องต้น ซึ่งสามารถนำไปใช้ตรวจสอบสิ่งต่าง ๆ ได้ดังนี้

    • วัดแรงดันไฟฟ้าแบตเตอรี่

มัลติมิเตอร์สามารถใช้วัดแรงดันไฟฟ้าของแบตเตอรี่รถยนต์ในขณะที่เครื่องยนต์ดับอยู่ เพื่อดูว่าแบตเตอรี่ยังเก็บประจุได้เพียงพอหรือไม่ โดยปกติค่าที่ควรได้จะอยู่ระหว่าง 12.4 12.7 โวลต์ หากต่ำกว่านี้ อาจแสดงว่าแบตเตอรี่เริ่มเสื่อม หรือมีไฟรั่วในระบบ

    • วัดประสิทธิภาพของไดชาร์จรถยนต์

เมื่อสตาร์ทรถและติดเครื่องเรียบร้อยแล้ว มัลติมิเตอร์สามารถนำมาใช้ตรวจวัดแรงดันที่ได้จากไดชาร์จหรืออัลเทอร์เนเตอร์ เพื่อดูว่ามีการจ่ายกระแสกลับไปชาร์จแบตเตอรี่หรือไม่ ค่าแรงดันที่เหมาะสมควรอยู่ระหว่าง 13.8 14.4 โวลต์ หากได้ค่าน้อยหรือมากกว่าช่วงนี้ อาจเกิดปัญหากับระบบชาร์จหรืออุปกรณ์ควบคุมแรงดัน

ทางออกที่ดีที่สุด! ดูแลแบตเตอรี่รถด้วยเครื่องชาร์จ CTEK

ดูแลแบตเตอรี่รถด้วยเครื่องชาร์จ CTEK ไม่ต้องคอยเช็กตลอด

มัลติมิเตอร์ หน้าที่สำคัญคือการตรวจสอบแรงดันไฟฟ้าของแบตเตอรี่ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถประเมินสภาพแบตได้เบื้องต้น แต่การวัดเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ เพราะการวัดแรงดันด้วยมัลติมิเตอร์ ไม่สามารถวัดคุณภาพที่แท้จริงของแบตเตอรี่รถยนต์ได้ อย่างค่ากำลังสตาร์ท (ค่า CCA) ซึ่งต้องใช้เครื่องวิเคราะห์สภาพแบตเตอรี่ (Battery Analyzer) ในการวัด โดยเฉพาะในรถที่จอดทิ้งไว้นาน แบตเตอรี่จะค่อย ๆ คายประจุไฟ จนเสื่อมสภาพโดยที่เราไม่รู้ตัว

ทางเลือกที่ดีที่สุดคือการดูแลด้วยเครื่องชาร์จแบตเตอรี่อัจฉริยะ CTEK ซึ่งสามารถรักษาแรงดันไฟฟ้าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม (มากกว่า 12.7V) หากแบตเตอรี่มีแรงดันไฟฟ้าต่ำกว่า 12.4V ถือว่าแบตเตอรี่อ่อนแล้ว ต้องรีบชาร์จโดยด่วน เพื่อช่วยยืดอายุแบตเตอรี่ และลดความเสี่ยงจากแบตเสื่อมก่อนเวลาอันควร CTEK ยังมีระบบชาร์จแบบหลายขั้นตอนที่ปลอดภัย ใช้งานง่าย

ดูแลรักษาแบตเตอรี่ให้มีอายุการใช้งานยาวนานเต็มประสิทธิภาพ ด้วยที่ชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ CTEK จากสวีเดน ที่ได้รับความไว้วางใจผลิตเครื่องชาร์จแบตฯ ให้กับรถยนต์ชั้นนำมากที่สุดในโลก เช่น Porsche Macan, Mercedes-Benz, Rolls-Royce, Lamborghini, Ferrari, McLaren, Bentley, Maserati, BMW, Mini, Audi, Jaguar, Lexus, Koenigsegg, Chrysler, Jeep และอื่น ๆ อีกมากมาย

โดยรุ่นที่แนะนำคือ CTEK MXS 5.0 เครื่องชาร์จที่เหมาะกับทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า (EV) คุณสมบัติเด่น:

  • กระแสชาร์จสูงสุด 5A
  • เหมาะสำหรับแบตเตอรี่ตะกั่ว-กรด 12V ขนาด 1.2 - 110Ah
  • ชาร์จเต็มแล้วตัดไฟอัตโนมัติ
  • ใช้งานง่าย ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านช่างก็สามารถใช้งานได้
  • เป็นรุ่นขายดีที่สุดในปัจจุบัน
  • ไม่ต้องถอดขั้วแบตเตอรี่ ไม่ต้องยกแบตฯออกจากรถ
  • รับประกัน 5 ปี

ให้รถคันโปรดของคุณพร้อมใช้งานเสมอ แม้ไม่ได้ขับออกไปไหนบ่อย ๆ สั่งซื้อเลยวันนี้!

MXS 5.0 Promotion

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้