ADAS คืออะไร? ทำให้ขับรถปลอดภัยขึ้นได้อย่างไร?

Last updated: 30 ธ.ค. 2568  |  24 จำนวนผู้เข้าชม  | 

adas system

ADAS คือระบบช่วยขับขี่ที่ใช้เซนเซอร์และซอฟต์แวร์ช่วยประเมินสภาพถนนแบบเรียลไทม์ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยระหว่างการขับรถ โดยระบบนี้ต้องอาศัยไฟฟ้าที่เสถียรจากแบตเตอรี่ ดังนั้นต้องดูแลแบตเตอรี่ให้พร้อมใช้งานเสมอ ด้วยที่ชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ CTEK โดยเฉพาะรถที่จอดนาน ช่วยเติมประจุไฟในแบตเตอรี่ ทำให้ระบบต่าง ๆ ในรถยนต์ รวมถึงระบบ ADAS ทำงานได้อย่างปกติ

CTEK MXS 5.0

ระบบ ADAS คืออะไร ย่อมาจากอะไร?

ADAS ย่อมาจาก Advanced Driver Assistance Systems หรือระบบช่วยขับขี่ขั้นสูงที่พัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มความปลอดภัยระหว่างการขับรถ ซึ่งจะทำงานร่วมกันระหว่างกล้อง เรดาร์ เซนเซอร์ และซอฟต์แวร์ประมวลผล ช่วยลดความผิดพลาดจากการตัดสินใจของผู้ขับ เพิ่มความแม่นยำในการขับขี่ในสถานการณ์ต่าง ๆ

โดยระบบนี้ตรวจจับสภาพแวดล้อมรอบรถ เช่น ระยะห่างจากคันหน้า เส้นแบ่งเลน คนเดินถนน หรือสิ่งกีดขวาง พร้อมส่งสัญญาณเตือนหรือเข้าควบคุมรถบางส่วนโดยอัตโนมัติ เช่น การชะลอความเร็ว การเบรกฉุกเฉิน หรือการดึงพวงมาลัยกลับสู่เลนอย่างเหมาะสม ช่วยให้การขับขี่มีความปลอดภัย ราบรื่น และเพิ่มความมั่นใจทั้งในสภาพการจราจรในเมืองและการเดินทางระยะไกล

องค์ประกอบสำคัญของระบบ ADAS มีอะไรบ้าง?

การทำงานของระบบ ADAS ต้องพึ่งพาอุปกรณ์หลายชนิดร่วมกันเพื่อให้ตรวจจับสภาพแวดล้อมได้อย่างแม่นยำและปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยองค์ประกอบสำคัญของระบบ ADAS สามารถแบ่งออกเป็นส่วนหลักดังนี้

  • กล้อง (Camera)

กล้องหน้ารถและกล้องรอบคันช่วยตรวจจับเส้นถนน รถคันอื่น คนเดินถนน และสัญญาณต่าง ๆ บนท้องถนน ภาพที่ได้จะถูกส่งเข้าสู่ระบบประมวลผลเพื่อตัดสินใจการเตือนหรือควบคุมรถให้เหมาะสม

  • เซนเซอร์เรดาร์ (Radar Sensors)

เรดาร์สามารถตรวจจับระยะและความเร็วของวัตถุได้แม่นยำ โดยเฉพาะในสภาพแสงน้อยหรือฝนตก ทำให้เหมาะสำหรับระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (ACC) และระบบเตือนการชนด้านหน้า

  • ไลดาร์ (LiDAR)

LiDAR ใช้แสงเลเซอร์สแกนพื้นที่รอบรถและสร้างแผนที่ 3 มิติ เพื่อประเมินระยะและรูปร่างของวัตถุอย่างละเอียด เทคโนโลยีนี้ช่วยเพิ่มความแม่นยำในสภาพแวดล้อมซับซ้อน เช่น ถนนที่มีสิ่งกีดขวางจำนวนมาก

  • เซนเซอร์อัลตราโซนิก (Ultrasonic Sensors)

ใช้ในระบบช่วยจอดหรือการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วต่ำ เนื่องจากสามารถวัดระยะใกล้ได้ดี ช่วยตรวจจับกำแพง เสา หรือวัตถุขนาดเล็กรอบรถ

ระบบ ADAS มีอะไรบ้าง ที่พบได้ในรถยนต์ปัจจุบัน?

ระบบ ADAS ช่วยจอดรถ

รถยนต์รุ่นใหม่ในปัจจุบันมักมาพร้อมระบบ ADAS เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เพื่อยกระดับความปลอดภัยและความสะดวกในการขับขี่ เช่นเดียวกับ Porsche Macan ที่ติดตั้งเทคโนโลยีช่วยขับขี่ขั้นสูงไว้อย่างครบถ้วน ดังนั้น หากถามว่าระบบ ADAS มีอะไรบ้างที่พบได้ในรถยนต์ปัจจุบัน สามารถอธิบายได้ดังนี้

1. ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบปรับได้

Adaptive Cruise Control - ACC ระบบที่ช่วยรักษาความเร็วตามที่ตั้งไว้ พร้อมปรับลดหรือเพิ่มความเร็วโดยอัตโนมัติให้สอดคล้องกับระยะห่างจากรถคันหน้า ช่วยลดภาระในการขับขี่ทางไกลและเพิ่มความปลอดภัย

2. ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเลน

Lane Departure Warning - LDW ระบบที่ใช้กล้องตรวจจับเส้นถนน หากรถเริ่มเบี่ยงออกนอกเลนโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว ระบบจะส่งสัญญาณเตือนเพื่อให้ผู้ขับระมัดระวังมากขึ้น

3. ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน / กลางเลน

Lane Keeping Assist - LKA / Lane Centering Assist - LCA ระบบ LKA จะช่วยดึงพวงมาลัยกลับเมื่อรถใกล้ออกจากเลน ขณะที่ LCA จะควบคุมให้รถอยู่กลางเลนอย่างสม่ำเสมอ ช่วยลดความเสี่ยงจากการเบี่ยงผิดจังหวะในขณะขับขี่

4. ระบบเตือนจุดอับสายตา

Blind Spot Monitoring - BSM ใช้เรดาร์หรือเซนเซอร์ตรวจจับรถในบริเวณจุดบอดของกระจกมองข้าง พร้อมแจ้งเตือนผู้ขับเมื่อมีรถอยู่ใกล้ช่วงเปลี่ยนเลน ช่วยลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุจากการมองไม่เห็น

5. ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ

Automatic Emergency Braking - AEB เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยตรวจจับความเสี่ยงในการชนด้านหน้าโดยใช้กล้องหรือเรดาร์ เมื่อพบว่ารถกำลังเข้าใกล้วัตถุหรือรถคันหน้าในระยะอันตราย ระบบจะส่งสัญญาณเตือน และหากผู้ขับไม่ตอบสนอง ระบบจะสั่งเบรกอัตโนมัติเพื่อลดความรุนแรงของการชน หรือช่วยหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุในบางสถานการณ์

โดยงานวิจัยจาก Insurance Institute for Highway Safety (IIHS) ระบุว่า ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (AEB) สามารถลดอัตราการชนท้ายของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลลงได้มากถึง 50% และลดการบาดเจ็บจากการชนท้ายลงได้ถึง 56%

6. ระบบเตือนการชนด้านหน้า

Forward Collision Warning - FCW ระบบที่ใช้กล้องหรือเรดาร์ตรวจจับระยะห่างจากรถคันหน้า หากพบว่ามีความเสี่ยงต่อการชน ระบบจะส่งสัญญาณเตือนทั้งภาพและเสียงเพื่อให้ผู้ขับชะลอหรือเบรกทันเวลา ช่วยลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุจากการสังเกตไม่ทัน

7. ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ

Auto Parking Assist ระบบที่ช่วยควบคุมพวงมาลัย การเร่ง และการเบรกเพื่อให้รถจอดเข้าในช่องได้อย่างแม่นยำ โดยผู้ขับเพียงเลือกโหมดและควบคุมตามคำแนะนำของระบบ ทำให้ลดความกังวลในการจอดในพื้นที่แคบและช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเคลื่อนที่ความเร็วต่ำ

ระดับของระบบ ADAS (Level 0 - Level 5)

ภาพจากกล้องมองหลังรถยนต์ ที่ทำงานร่วมกับระบบ ADAS

ระดับของระบบ ADAS เป็นอีกประเด็นสำคัญที่ช่วยให้เข้าใจว่า ADAS คืออะไร และทำงานในระดับใดบ้างในรถยนต์ยุคใหม่ โดยแต่ละระดับสะท้อนความสามารถของระบบในการช่วยขับหรือควบคุมรถแทนผู้ขับได้มากน้อยแตกต่างกัน ตั้งแต่การช่วยเล็กน้อยไปจนถึงการขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบ

ADAS L0: No Automation

ในระดับนี้ผู้ขับยังเป็นผู้ควบคุมรถทั้งหมด ระบบจะทำหน้าที่เพียงแจ้งเตือน เช่น เตือนออกนอกเลนหรือเตือนการชน โดยไม่มีการควบคุมรถแทนแต่อย่างใด

ADAS L1: Driver Assist

ก้าวเข้าสู่ระดับที่ระบบสามารถช่วยควบคุมอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น พวงมาลัยหรือความเร็ว แม้จะช่วยลดภาระบางส่วน แต่ผู้ขับยังต้องจับพวงมาลัยและควบคุมรถอยู่ตลอดเวลา

ADAS L2: Partial Automation

ระดับนี้ระบบสามารถควบคุมได้ทั้งพวงมาลัยและความเร็วพร้อมกัน เช่น การรักษาเลนร่วมกับการควบคุมความเร็วอัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม ผู้ขับยังต้องคอยสังเกตและพร้อมแทรกแซงเสมอ

ADAS L3: Conditional Automation

ระบบสามารถขับเคลื่อนรถได้เองภายใต้เงื่อนไขเฉพาะ เช่น การขับในสภาพรถติดหรือความเร็วต่ำ ผู้ขับอาจละมือจากพวงมาลัยได้ช่วงหนึ่ง แต่ต้องพร้อมกลับมาควบคุมเมื่อระบบร้องขอ

ADAS L4: High Automation

รถสามารถขับเคลื่อนอย่างอัตโนมัติแทบทั้งหมดในพื้นที่ที่ออกแบบมารองรับ เช่น เขตระบบอัตโนมัติเฉพาะทาง ผู้ขับแทบไม่จำเป็นต้องแทรกแซง แม้ระบบยังไม่ครอบคลุมทุกสภาพถนน

ADAS L5: Full Automation

เป็นระดับสูงสุดที่รถสามารถขับเคลื่อนได้เองทุกสภาพถนน ทุกสภาพอากาศ และทุกสถานการณ์ โดยไม่ต้องพึ่งผู้ขับขี่

เมื่อมองภาพรวมจะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีช่วยขับขี่สมัยใหม่มีบทบาทสำคัญต่อการยกระดับความปลอดภัยบนท้องถนน การทำความเข้าใจว่าระบบ ADAS คืออะไร ช่วยให้ผู้ขับมองเห็นขอบเขตและศักยภาพของระบบได้ชัดเจนขึ้น ทั้งในด้านการป้องกันอุบัติเหตุ ลดความผิดพลาดจากมนุษย์ และเสริมความมั่นใจระหว่างการขับขี่ โดยระบบตรวจจับต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกล้อง เรดาร์ หรือ LiDAR ต่างประมวลผลร่วมกันเพื่อให้รถประเมินสถานการณ์ได้อย่างแม่นยำ

แม้ระบบ ADAS จะช่วยเพิ่มความปลอดภัย แต่ก็ยังเป็นเพียงเครื่องมือสนับสนุน ดังนั้น ผู้ขับขี่ยังคงมีบทบาทหลักในการตัดสินใจและควบคุมรถ ซึ่งการใช้งานอย่างเข้าใจและเหมาะสมจะช่วยให้เทคโนโลยีนี้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และทำให้ทุกการเดินทางปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

ให้ระบบ ADAS และระบบอื่น ๆ ในรถยนต์ ทำงานเต็มประสิทธิภาพด้วยเครื่องชาร์จ CTEK

พร้อมใช้งานทุกครั้งที่สตาร์ทด้วยเครื่องชาร์จแบตเตอรี่ CTEK

รถรุ่นใหม่ ๆ ที่เราขับกันอยู่ เต็มไปด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะอย่างระบบ ADAS ไม่ว่าจะเป็น ระบบช่วยเบรกฉุกเฉิน หรือระบบควบคุมรถให้อยู่ในเลน ซึ่งสิ่งที่ทำให้ระบบพวกนี้ทำงานได้แม่นยำก็คือ "แรงดันไฟฟ้าที่คงที่"

ลองนึกภาพว่าถ้าแบตเตอรี่เราเริ่มอ่อน แม้จะยังพอสตาร์ทรถติดขับไปไหนมาไหนได้ แต่แรงดันไฟที่ไม่นิ่งอาจส่งผลให้เซนเซอร์หรือกล่องควบคุมระบบความปลอดภัยเหล่านี้ทำงานผิด ๆ ถูก ๆ

เพราะฉะนั้น การดูแลรถยนต์สมัยใหม่จึงต้องใช้เครื่องชาร์จแบตเตอรี่ CTEK

  • จ่ายไฟนิ่ง ไม่มี Overcharge: ด้วยเทคโนโลยี การชาร์จอัจฉริยะ 8 ขั้นตอน ไม่ต้องเสี่ยงกับอาการไฟตก หรือไฟกระชาก หรือโอเวอร์ชาร์จ ไม่ทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เสียหาย
  • ไม่ต้องเสียเวลาเอารถไปวนขับ: หลายคนเข้าใจว่าแค่สตาร์ทเครื่องทิ้งไว้แบตก็เต็มแล้ว แต่จริง ๆ มันไม่พอ เพราะการเติมไฟให้เต็มแบตเตอรี่ต้องใช้ระยะทาง และเวลามากพอในการชาร์จ แต่แค่มี CTEK ปัญหานี้ก็จบไปได้เลย พอครับ แถมแรงดันไฟก็ยังไม่นิ่งพอสำหรับเซนเซอร์ที่ละเอียดอ่อนของรถรุ่นใหม่ๆ ด้วย
  • มาตรฐานระดับโลก: ที่ได้รับความไว้วางใจผลิตเครื่องชาร์จแบตฯ ให้กับรถยนต์ชั้นนำมากที่สุดในโลก เช่น Porsche Macan, Mercedes-Benz, Porsche, Rolls-Royce, Lamborghini, Ferrari, McLaren, Bentley, Maserati, BMW, Mini, Audi, Jaguar, Lexus, Koenigsegg, Chrysler, Jeep และอื่น ๆ อีกมากมาย

ให้รถคันโปรดของคุณพร้อมใช้งานเสมอ แม้ไม่ได้ขับออกไปไหนบ่อย ๆ สั่งซื้อเลยวันนี้!

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้