Last updated: 29 พ.ค. 2567 | 6791 จำนวนผู้เข้าชม |
ปฏิเสธไม่ได้ว่าราคาน้ำมันที่กำลังพุ่งสูงขึ้นในปัจจุบันนั้น ถือเป็นอีกหนึ่งค่าใช้จ่ายที่น่าปวดหัว ที่สร้างภาระให้กับเจ้าของรถทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งถ้าหากเราลองมาคำนวณค่าใช้จ่ายกันโดยละเอียดแล้ว ค่าน้ำมันที่เราต้องเสียต่อเดือนนั้นอาจจะสูงถึง 3,000 - 7,000 บาทเลยทีเดียว (ขึ้นอยู่กับประเภทรถและพฤติกรรมการขับขี่) ดังนั้นเพื่อเป็นการช่วยทุกคนรับมือกับราคาน้ำมันที่กำลังแพงขึ้นเรื่อย ๆ วันนี้ APRTECH จึงได้รวบรวมเทคนิคการขับรถที่สามารถประหยัดน้ำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพมาฝากครับ
เชื่อหรือไม่ว่าการเบรกรถบ่อย ๆ ถือเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานน้ำมันมากกว่าปกติ เพราะทุกครั้งที่เราเบรก ความเร็วของรถจะลดลงจนหยุดนิ่ง หากเราต้องการไปต่อ เราก็จำเป็นที่จะต้องเร่งเครื่องขึ้นเพื่อให้รถกลับไปคงความเร็วดังเดิม นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้น้ำมันถูกผลาญไปโดยใช่เหตุ ดังนั้นจำไว้ว่าทุกครั้งที่คุณขับรถ คุณควรขับด้วยความระมัดระวัง หลีกเลี่ยงจุดเสี่ยงที่อาจทำให้ต้องเบรกบ่อย ๆ พยายามสังเกต คาดการณ์ และประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าอยู่เสมอครับ\
คุณควรขับรถด้วยความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด ไม่ควรขับรถเร็วหรือเร่งเครื่องเกินความจำเป็น เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่ายิ่งเราใช้ความเร็วมากเท่าไหร่ ตัวรถก็จะกินน้ำมันมากขึ้นเท่านั้น แต่การขับรถช้า ๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะช่วยประหยัดน้ำมัน การใช้ความเร็วคงที่ตลอดการเดินทางต่างหาก ที่จะช่วยให้เครื่องยนต์เผาผลาญพลังงานได้ดีที่สุด โดยความเร็วที่เหมาะสมจะอยู่ที่ประมาณ 80 - 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือถ้าเลือกไม่ได้คุณก็ควรรักษาความเร็วรถให้อยู่ในระดับที่คงที่ อย่างสม่ำเสมอตลอดการเดินทางครับ
ผู้ใช้รถทุกคนไม่ควรเร่งเครื่อง เบิ้ลเครื่อง หรือออกตัวแรงบ่อย ๆ เพราะพฤติกรรมเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เครื่องยนต์กินน้ำมันมากเกินความจำเป็น เนื่องจากทุกครั้งที่เราเหยียบคันเร่งเพื่อเร่งเครื่อง น้ำมันเชื้อเพลิงจะถูกสูบฉีดเข้าสู่ห้องเผาไหม้มากกว่าปกติ ซึ่งนอกจากจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันโดยใช่เหตุแล้ว มันยังอาจทำให้เครื่องยนต์เกิดการสึกหรอ และยังเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุได้มากกว่าปกติครับ
รู้หรือไม่ว่ารถจะใช้แรงในการขับเคลื่อนมากที่สุด เมื่อเราเริ่มเคลื่อนที่ไปข้างหน้าหลังจากหยุดนิ่ง กระบวนการนี้จะกินพลังงานเชื้อเพลิงมากกว่าตอนที่รถวิ่งด้วยความเร็วปกติเสียอีก เราจึงพอสรุปได้ว่าการจราจรติดขัดที่ทำให้เราต้องคอยหยุดรถและขยับรถบ่อย ๆ ถือเป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้ตัวรถกินพลังงานเชื้อเพลิงมากกว่าปกติ ดังนั้นหากเป็นไปได้คุณควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ในช่วงเวลาเร่งด่วน ควรศึกษาเส้นทางหรือเลือกใช้เส้นทางอย่างรอบคอบครับ
คุณไม่ควรขนสัมภาระมากเกินความจำเป็น เพราะมันจะทำให้ตัวรถมีน้ำหนักมากขึ้นกว่าปกติ และทำให้เครื่องยนต์ต้องรับภาระหนักมากขึ้นในการขับเคลื่อน ต้องใช้ความเร็วมากขึ้น กินน้ำมันมากขึ้น ดังนั้นเราจึงควรบรรทุกสัมภาระในปริมาณที่พอดี ใช้รถให้ถูกประเภท อย่าฝืนขนของหรือบรรทุกสัมภาระที่ไม่ควรขน เพราะนอกจากจะทำให้รถกินน้ำมันมากขึ้นแล้ว มันยังอาจทำให้ชิ้นส่วนอื่น ๆ ของตัวรถเกิดความเสียหายได้ครับ
นอกจากเทคนิคการขับรถดี ๆ ที่เราควรรู้แล้ว เรายังต้องหมั่นดูแลรักษาและคอยตรวจเช็กสภาพรถอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้รถเกิดปัญหาน่าปวดหัวขึ้น จนเราต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว โดยเฉพาะเจ้าของรถสายจอดที่ไม่มีเวลานำรถออกขับ คุณควรใช้เครื่องชาร์จแบตเตอรี่คอยชาร์จไฟให้เต็มอยู่ตลอด เพื่อป้องกันปัญหาแบตเตอรี่เสื่อมจากการจอดรถทิ้งไว้เป็นเวลานาน ไม่ต้องเสียเงินเสียเวลาเปลี่ยนแบตรถยนต์บ่อย ๆ ให้รำคาญใจอีกต่อไปครับ
ป้องกันแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมที่ต้นเหตุ ด้วยเครื่องชาร์จแบตเตอรี่ CTEK MXS 5.0 สำหรับรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ และ CTEK XS 0.8 สำหรับรถมอเตอร์ไซค์โดยเฉพาะ CTEK คือ เครื่องชาร์จแบตรถยนต์อัจฉริยะจากสวีเดน ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ผลิตรถชั้นนำมากที่สุดในท้องตลาด เป็นเจ้าของเทคโนโลยีลิขสิทธิ์เฉพาะ ช่วยยืดอายุแบตเตอรี่ ใช้งานง่าย ปลอดภัย ทนทาน รับประกันถึง 5 ปี ไม่ต้องมีความรู้เรื่องช่างก็สามารถใช้งานได้ในทันที มาพร้อมกับระบบตัดไฟอัตโนมัติเมื่อชาร์จเต็ม สามารถชาร์จทิ้งไว้ได้เป็นเดือน ๆ โดยไม่ทำให้แบตเตอรี่เสีย ไม่ต้องคอยสตาร์ท ไม่ต้องคอยเอารถไปวนขับให้เปลืองน้ำมันอีกต่อไป
ประหยัดเงิน ประหยัดเวลา และประหยัดน้ำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการใช้ CTEK ตั้งแต่วันนี้!
พิเศษ! สั่งซื้อตอนนี้รับโปรโมชันราคาพิเศษทันที
ขอบคุณข้อมูลจาก
3 ก.พ. 2568
3 ก.พ. 2568
3 ก.พ. 2568